วิเคราะห์การเบิกจ่ายค่าตอบแทนการสอนอาจารย์พิเศษ ของคณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา ประจำปีการศึกษา 2565
ผู้แต่ง:
สุธาสินี หินแก้ว
Download: 122 ครั้ง
|
บทคัดย่อ
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1. สภาพปัจจุบันการเบิกจ่ายค่าตอบแทนการสอนของอาจารย์พิเศษ 2. วิเคราะห์การเบิกจ่ายค่าตอบแทนการสอนของอาจารย์พิเศษ และ 3. วิเคราะห์ภาระงานสอนของอาจารย์ประจำตามเกณฑ์ภาระงาน คณะทันตแพทยศาสตร์ ประจำปีการศึกษา 2565 การวิจัย พบว่า ชั่วโมงการสอนปีการศึกษา 2565 กลุ่มสาขาวิชาทันตกรรมบูรณะ มีค่าใช้จ่ายในการเชิญอาจารย์พิเศษมากที่สุด รองลงมาเป็นกลุ่มสาขาวิชาเวชศาสตร์ช่องปากและศัลยศาสตร์ และกลุ่มวิชาทันตกรรมป้องกันและทันตสาธารณสุขตามลำดับ โดยกลุ่มสาขาวิชาทันตกรรมบูรณะ สาขาวิชาทันตกรรมประดิษฐ์มีชั่วโมงการสอนมากที่สุด รองลงมาเป็นกลุ่มสาขาวิชาเวชศาสตร์ช่องปากและศัลยศาสตร์ สาขาวิชาศัลยศาสตร์ช่องปาก และสาขาวิชาวิทยาการวินิจฉัยโรคช่องปาก จำแนกได้ว่ากลุ่มสาขาวิชาทันตกรรมบูรณะ สาขาวิชาทันตกรรมประดิษฐ์ เชิญอาจารย์พิเศษมากที่สุด จำนวน 611 ชั่วโมง มีค่าตอบแทน 611,000 บาท กลุ่มสาขาวิชาเวชศาสตร์ช่องปากและศัลยศาสตร์ สาขาวิชาศัลยศาสตร์ช่องปาก เชิญอาจารย์พิเศษ จำนวน 527 ชั่วโมง มีค่าตอบแทน 527,000 บาท และกลุ่มสาขาวิชาทันตกรรมบูรณะ สาขาวิชาทันตกรรมหัตถการ เชิญอาจารย์พิเศษ จำนวน 400 ชั่วโมง มีค่าตอบแทน 400,000 บาท หากอาจารย์ประจำสอนตามเกณฑ์ภาระงานสอน จำนวน 1,050 ชั่วโมงตลอดปีการศึกษา คณะทันตแพทยศาสตร์จะประหยัดค่าใช้จ่ายในการเชิญอาจารย์พิเศษ จำนวน 2,904,000 บาท โดยมี 3 สาขาวิชา ที่มีภาระงานสอนมากกว่าเกณฑ์ภาระสอนที่กำหนดและสามารถเชิญอาจารย์พิเศษมาทำการสอนให้กับนิสิตได้ ได้แก่ กลุ่มสาขาวิชาทันตกรรมบูรณะ สาขาวิขาทันตกรรมประดิษฐ์ กลุ่มสาขาวิชาเวชศาสตร์ช่องปากและศัลยศาสตร์ สาขาวิชาศัลยศาสตร์ช่องปาก และสาขาวิชา
ทันตกรรมหัตถการ โดยมีงบประมาณการค่าตอบแทนอาจารย์พิเศษ จำนวน 1,170,000 บาท
Download
|
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความตั้งใจในการผลิตผลงานทางวิชาการของบุคลากร สายสนับสนุนวิชาการ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ผู้แต่ง:
นวภัสร์ ปันใจ
Download: 94 ครั้ง
|
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาระดับตัวแปรเจตคติต่อการผลิตผลงานทางวิชาการ การได้รับการสนับสนุนทางสังคม การรับรู้ความสามารถของตนในการผลิตผลงานทางวิชาการ ความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ลักษณะงานที่ทำ และความตั้งใจในการผลิตผลงานทางวิชาการ 2. ศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความตั้งใจในการผลิตผลงานทางวิชาการ และ 3. ศึกษาความคิดเห็นเกี่ยวกับการผลิตผลงานทางวิชาการของบุคลากรสายสนับสนุนวิชาการ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ บุคลากรสายสนับสนุนวิชาการ จำนวน 85 คน โดยวิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิ ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติพื้นฐานและการวิเคราะห์อิทธิพลด้วยเทคนิคการประมาณค่าภาวะน่าจะเป็นสูงสุด ผลการวิจัยพบว่า ในภาพรวมบุคลากรสายสนับสนุนวิชาการมีเจตคติต่อการผลิตผลงานทางวิชาการ การได้รับการสนับสนุนทางสังคม การรับรู้ความสามารถของตนในการผลิตผลงานทางวิชาการ ความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน และลักษณะงานที่ทำอยู่ในระดับมาก ส่วนความตั้งใจในการผลิตผลงานทางวิชาการในภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง สำหรับการศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความตั้งใจในการผลิตผลงานทางวิชาการของบุคลากรสายสนับสนุนวิชาการ พบว่าลักษณะงานที่ทำเป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลสูงสุดต่อความตั้งใจในการผลิตผลงานทางวิชาการ โดยมีขนาดอิทธิพลรวมเท่ากับ 0.43 ขณะที่ปัจจัยอื่น ๆ ได้แก่ การรับรู้ความสามารถของตนในการผลิตผลงานทางวิชาการ เจตคติต่อการผลิตผลงานทางวิชาการ และความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน พบว่ามีอิทธิพลต่อความตั้งใจในการผลิตผลงานทางวิชาการในลำดับรองลงมาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยมีขนาดอิทธิพลรวมเท่ากับ 0.35, 0.27, 0.12 ตามลำดับ
Download
|
การวิเคราะห์บทความตีพิมพ์ในวารสารวิชาการระดับนานาชาติ ในฐานข้อมูล Scopus จากโครงการวิจัยที่ได้รับทุนเงินรายได้มหาวิทยาลัยมหิดล ประเภท ทุนสนับสนุนนักวิจัยหลังปริญญาเอก ปีงบประมาณ 2561 - 2565
ผู้แต่ง:
ธนภัทร เลิศมงคลอักษร
Download: 119 ครั้ง
|
บทคัดย่อ
การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์บทความตีพิมพ์ในวารสารวิชาการระดับนานาชาติ ในฐานข้อมูล Scopus จากโครงการวิจัยที่ได้รับทุนเงินรายได้มหาวิทยาลัยมหิดล ประเภท ทุนสนับสนุนนักวิจัยหลังปริญญาเอก ปีงบประมาณ 2561 - 2565 การศึกษาในครั้งนี้ใช้วิธีวิจัยเชิงปริมาณ โดยใช้วิธีการสืบค้นและเก็บรวบรวมจำนวนบทความตีพิมพ์ที่ได้รับการตีพิมพ์ในระดับนานาชาติ โดยมีนักวิจัยหลังปริญญาเอกเป็นผู้ประพันธ์ชื่อแรก (First author) สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติพรรณนา คือ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ผลการศึกษา พบว่า มหาวิทยาลัยมหิดลมีจำนวนบทความตีพิมพ์ระดับนานาชาติในฐานข้อมูล Scopus ระหว่าง พ.ศ. 2561 - 2565 จำนวนทั้งสิ้น 66 บทความ โดยมีผลงานตีพิมพ์สูงสุดในปีงบประมาณ 2561 (ร้อยละ 133.33) รองลงมาปีงบประมาณ 2562 (ร้อยละ 84.62) และในปีงบประมาณ 2563 - 2565 อาจเป็นผลมาจากการตีพิมพ์บทความวิจัยจะเกิดหลังจากสิ้นสุดการรับทุนแล้วประมาณ 1 - 2 ปี จากผลการวิจัยในข้อ 1.5 จึง คาดว่าในอนาคตปีงบประมาณ 2563 - 2565 จะมีบทความตีพิมพ์เพิ่มขึ้น รวมถึงบทความตีพิมพ์อาจไม่เป็นไปตามที่คาด โดยอาจมีปัจจัยในหลายด้าน ผลการศึกษาในครั้งนี้นำมาสู่การปรับปรุงและพัฒนาแนวทางการบริหารงานวิจัย คือ มหาวิทยาลัยควรส่งเสริมและกระตุ้นให้นักวิจัยสามารถสร้างผลงานวิจัยให้เพิ่มมากขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของมหาวิทยาลัยและยุทธศาสตร์ประเทศ รวมทั้งการส่งเสริมกำลังคนที่จะมาช่วยในการพัฒนางานวิจัยและบทความตีพิมพ์ ข้อเสนอแนะประการสุดท้าย คือ การส่งเสริมให้นักวิจัยมีทัศนคติที่ดีต่อการทำวิจัยและสร้างผลงานการตีพิมพ์ระดับนานาชาติ มีความภาคภูมิใจต่อมหาวิทยาลัยรวมถึงความก้าวหน้าในอาชีพ และได้รับการยอมรับในวงการวิชาการ
Download
|
ความคาดหวังและความพึงพอใจของผู้เข้าร่วมโครงการ PSU Open Mobility คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
ผู้แต่ง:
นูรฮัม ฮะซา, พิภัตน์ เผ่าจินดา
Download: 231 ครั้ง
|
บทคัดย่อ
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์คือ 1) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของผู้เข้าร่วมโครงการ PSU Open Mobility ของคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ระหว่างปีพ.ศ. 2564-2566 2) เพื่อศึกษาความคาดหวังของผู้เข้าร่วมโครงการ PSU Open Mobility ระหว่างปีพ.ศ. 2564-2566 ต่อการส่งเสริมความเป็นนานาชาติของคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ประชากรที่ใช้ในการศึกษา คือ ผู้เข้าร่วมโครงการ PSU Open Mobility จำนวน 14 โครงการย่อยที่จัดขึ้นระหว่างเดือนกันยายน พ.ศ. 2564 ถึงเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2566 จำนวน 1,616 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามออนไลน์ ซึ่งมีค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) เท่ากับ 1 โดยแบ่งเป็น 3 ส่วน คือ 1) ข้อมูลทั่วไปของผู้เข้าร่วม 2) ความพึงพอใจของผู้เข้าร่วมต่อการจัดโครงการ PSU Open Mobility และ 3) ความคาดหวังของผู้เข้าร่วมต่อการส่งเสริมความเป็นนานาชาติของคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ผลการศึกษาพบว่า 1) ผู้เข้าร่วมส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 70.70 มีสถานภาพเป็นนักศึกษา ร้อยละ 89.99 มีช่วงอายุระหว่าง 18-23 ปี ร้อยละ 48.80 และมีระดับการศึกษาสูงสุด คือ ปริญญาตรี ร้อยละ 80.12 ซึ่งตรงตามกลุ่มเป้าหมายของโครงการฯ 2) ความพึงพอใจของผู้เข้าร่วมต่อการจัดโครงการ PSU Open Mobility มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุดอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2564-2566 โดยมีค่าเฉลี่ยในปีพ.ศ. 2564 คือ (µ=4.51, σ=0.16) ในปีพ.ศ. 2565 คือ (µ=4.64, σ=0.18) และในปีพ.ศ. 2566 คือ (µ=4.64, σ=0.13) และ 3) ความคาดหวังของผู้เข้าร่วมต่อการส่งเสริม ความเป็นนานาชาติของคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เสนอให้จัดกิจกรรมทางวัฒนธรรมนานาชาติภายในมหาวิทยาลัยมากที่สุด ติดต่อกันตั้งแต่ปี พ.ศ. 2564-2566 คิดเป็นร้อยละ 30.20 ในปีพ.ศ. 2564 ร้อยละ 23.88 ในปีพ.ศ. 2565 และร้อยละ 16.91 ในปี พ.ศ. 2566
Download
|
การจัดตารางเรียนตารางสอนระดับปริญญาตรี สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
ผู้แต่ง:
เชิดเกียรติ หยิบยานนท์
Download: 162 ครั้ง
|
บทคัดย่อ
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์คือ เพื่อศึกษาการจัดตารางเรียนตารางสอนระดับปริญญาตรี ของเจ้าหน้าที่สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ประชากรที่ใช้ในการศึกษาวิจัยครั้งนี้ เป็นเจ้าหน้าที่ส่วนงานวิชาการ 11 คณะ 4 วิทยาลัย 1 วิทยาเขต และเจ้าหน้าที่สำนักวิชาศึกษาทั่วไป มีหน้าที่จัดตารางเรียนตารางสอนในระดับปริญญาตรี จำนวนทั้งหมด 24 คน เป็นการศึกษาจากประชากรผู้จัดทำตารางเรียนตารางสอนทั้งหมดภายในสถาบัน เครื่องมือที่ใช้วิจัย คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์ข้อมูล นำข้อเสนอแนะในการปรับปรุงการจัดตารางเรียนตารางสอนในภาคการศึกษาถัดไปมาแจกแจงความถี่ โดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และการวิเคราะห์เนื้อหา พบว่า ผลศึกษาการจัดตารางเรียนตารางสอนระดับปริญญาตรี ระดับความเห็นของเจ้าหน้าที่ที่มีต่อความรู้ความเข้าใจด้านนโยบายของสถาบัน และระเบียบข้อบังคับระดับปริญญาตรี รวมถึงด้านโครงสร้างหลักสูตรและรายละเอียดวิชา มีประสิทธิภาพอยู่ในระดับมาก ( =3.68, S.D.=1.02) ระดับความเห็นของเจ้าหน้าที่ ที่มีต่อเวลาในการจัดตารางเรียนตารางสอนตามปฏิทินการศึกษาและในระบบสำนักทะเบียนและประมวลผล มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก ( =3.88, S.D.=0.83) โดยมีข้อเสนอแนะของเจ้าหน้าที่ในการปรับปรุงการจัดตารางเรียนตารางสอน เรื่องฟังก์ชันระบบยังไม่ครอบคลุมการใช้งานมากที่สุด รองลงมา คือ การดึงข้อมูลในระบบไปใช้งานผิดเพี้ยน และต้องการสิทธิการเพิ่มเงื่อนไขหลังจากปิดระบบ ปิดระบบเร็วไปขอให้ยืดหยุ่นในการปิดระบบ ต้องการเมนูภาษาอังกฤษสำหรับต่างชาติ
Download
|
ความต้องการในการพัฒนาของพนักงานมหาวิทยาลัยสายสนับสนุนวิชาการ มหาวิทยาลัยนครพนม
ผู้แต่ง:
พาทิศ คงโสมา, จิณัฐตา เพ็งอ่ำ, ชนน์วริศร์ ชยกรธนาวัชร์
Download: 121 ครั้ง
|
บทคัดย่อ
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัญหาการปฏิบัติงานของพนักงานมหาวิทยาลัยสายสนับสนุนวิชาการ 2) เพื่อศึกษาความต้องการพัฒนาของพนักงานมหาวิทยาลัยสายสนับสนุนวิชาการ และ 3) เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาพนักงานมหาวิทยาลัยสายสนับสนุนวิชาการในยุควิถีชีวิตใหม่ ผลการวิจัยพบว่า สภาพปัญหาการปฏิบัติงาน ได้แก่ ความรู้การวางแผน การวิเคราะห์งาน และการตัดสินใจ ความรู้ ความเข้าใจกระบวนการทำงานและทักษะในการปฏิบัติงาน ทักษะการศึกษาและค้นคว้าอย่างเป็นระบบ ความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับเป้าหมายและภารกิจของหน่วยงาน ความรู้เกี่ยวกับการจัดเก็บข้อมูลสารสนเทศ และการนำเสนอข้อมูลอย่างเป็นระบบ ความสามารถในการให้คำแนะนำ หรือเป็นที่ปรึกษาช่วยตัดสินใจหรือแก้ปัญหา แรงจูงใจหรือความพยายามสู่ความก้าวหน้าในวิชาชีพ ความรู้ ความเข้าใจต่อหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย ความสามารถในการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ และความสามารถในการสื่อสารภาษาอังกฤษ ความต้องการพัฒนาการปฏิบัติงานอยู่ในระดับมาก ได้แก่ แรงจูงใจหรือความพยายามสู่ความก้าวหน้าในวิชาชีพ ( = 4.19) ความรู้ ความเข้าใจและกระบวนการทำงาน และทักษะในการปฏิบัติงานที่ได้รับมอบหมาย ( = 4.10) ความรู้การวางแผน การวิเคราะห์งาน และการตัดสินใจ ( = 4.04) ทักษะการศึกษาและค้นคว้าอย่างเป็นระบบ ( = 4.04) ความรู้ ความเข้าใจต่อหน้าที่ในตำแหน่งงานที่ได้รับมอบหมาย ( = 4.00) ความรู้เกี่ยวกับการจัดเก็บข้อมูลสารสนเทศ และการนำเสนอข้อมูลอย่างเป็นระบบ ( = 3.99) ความสามารถในการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ ( = 3.94) ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเป้าหมายและภารกิจของหน่วยงาน ( = 3.93) ความสามารถในการเขียนหนังสือราชการ ( = 3.77) แนวทางการพัฒนาพนักงานมหาวิทยาลัยสายสนับสนุนวิชาการในยุควิถีชีวิตใหม่ ได้แก่ การส่งเสริมและพัฒนาการผลิตผลงานทางวิชาชีพ การส่งเสริมสนับสนุนการเรียนรู้เพื่อพัฒนาการปฏิบัติงานผ่านระบบออนไลน์ และการจัดทำหลักสูตรฝึกอบรม
Download
|
แบบพิมพ์เซรามิกส์สำหรับกระบวนการจุ่มขึ้นรูปผลิตภัณฑ์จากยางธรรมชาติ
ผู้แต่ง:
นุชรีย์ ชมเชย
Download: 129 ครั้ง
|
บทคัดย่อ
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อหาสูตรส่วนผสมที่เหมาะสมเพื่อใช้ผลิตแบบพิมพ์เซรามิกส์สำหรับกระบวนการจุ่มขึ้นรูปผลิตภัณฑ์จากยางธรรมชาติ มีวิธีดำเนินการ 2 ขั้นตอน ขั้นตอนที่ 1 ทดสอบสมบัติของสูตรดินผสม 10 สูตร โดยใช้แผนภาพตารางสามเหลี่ยมด้านเท่ากำหนดอัตราส่วนผสมวัตถุดิบ ดินขาว ไดอะตอมไมท์ และเบนโทไนต์ ขึ้นรูปชิ้นทดสอบด้วยวิธีหล่อน้ำดิน และเผาที่อุณหภูมิ 800°C ในบรรยากาศออกซิเดชัน ทดสอบสมบัติทางกายภาพและสมบัติทางกลตามมาตรฐาน ASTM C 326-03 ASTM C 373-72 และ ASTM C 674-81 ทดสอบสีโดยใช้เครื่องวัดสีมินอลต้า วิเคราะห์องค์ประกอบและปริมาณทางแร่ด้วยเทคนิคการเลี้ยวเบนของรังสีเอกซ์ (X-ray Diffraction; XRD) และวิเคราะห์สมบัติโครงสร้างจุลภาคโดยใช้กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนแบบส่องกราด (Scanning Electron Microscopy; SEM) ขั้นตอนที่ 2 ทดสอบการใช้งานจริงโดยนำสูตรที่เหมาะสมขึ้นรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต้นแบบ ผลการวิจัย พบว่า สูตรที่เหมาะสมที่จะใช้ผลิตแบบพิมพ์เซรามิกส์สำหรับกระบวนการจุ่มขึ้นรูปผลิตภัณฑ์จากยางธรรมชาติ ประกอบด้วยดินขาว 53-58 เปอร์เซ็นต์โดยน้ำหนักไดอะตอมไมท์ 27-36 เปอร์เซ็นต์โดยน้ำหนัก และเบนโทไนต์ 10-15 เปอร์เซ็นต์โดยน้ำหนัก ผลิตภัณฑ์ที่ได้มีลักษณะพิเศษ คือ มีความพรุนตัว 41-45 เปอร์เซ็นต์ การหดตัว 0.7-1.0 เปอร์เซ็นต์ ปริมาตรของรูพรุนเปิด 11-16 ลูกบาศก์เซนติเมตร ค่าโมดูลัสของการแตกหัก 6-8 เมกะพาสคาล ผลการนำไปใช้งาน พบว่า แบบพิมพ์เซรามิกส์มีคุณสมบัติเด่นเรื่องน้ำหนักเบา ดูดติดน้ำยางได้ดี ชิ้นงานที่ขึ้นรูปจากแบบพิมพ์มีผิวเรียบ มีความหนาสม่ำเสมอ และถอดชิ้นงานออกจากแบบพิมพ์ได้ง่าย
Download
|
การรับฟังเสียงลูกค้าด้านการจัดการเรียนการสอนระดับปริญญาตรี คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
ผู้แต่ง:
นันท์ชญาณ์ แดนสีแก้วธัญ, กมลพร จันทาคึมบง
Download: 92 ครั้ง
|
บทคัดย่อ
การวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความคาดหวังหรือความต้องการและความพึงพอใจของนิสิตด้านการจัดการเรียนการสอน 2) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความคาดหวังหรือความต้องการและความพึงพอใจของนิสิตด้านการจัดการเรียนการสอนระดับปริญญาตรีคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม กลุ่มตัวอย่าง คือ นิสิตจำนวน 327 คน เก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ ความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน ผลการวิจัย พบว่า 1) กลุ่มตัวอย่างที่ศึกษาส่วนมากเป็นเพศหญิง ชั้นปีที่ 3 หลักสูตรสาธารณสุขศาสตรบัณฑิต 2) มีความคาดหวังหรือความต้องการด้านการจัดการเรียนการสอนระดับปริญญาตรี โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็น รายด้านพบว่า กลุ่มตัวอย่างมีความคาดหวังหรือความต้องการในด้านผู้เรียนมากที่สุด รองลงมา คือ ด้านผู้สอน ด้านหลักสูตร และด้านสิ่งสนับสนุนการศึกษา เป็นลำดับสุดท้าย 3) มีความพึงพอใจด้านการจัดการเรียนการสอนระดับปริญญาตรี โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า มีความพึงพอใจในด้านผู้สอนมากที่สุด รองลงมา คือ ด้านหลักสูตร ด้านผู้เรียน และด้านสิ่งสนับสนุนการศึกษา เป็นลำดับสุดท้าย 4) ความคาดหวังหรือความต้องการและความพึงพอใจของนิสิตด้านการจัดการเรียนการสอน พบว่า ด้านหลักสูตร ด้านผู้สอน ด้านผู้เรียน และด้านสิ่งสนับสนุนการศึกษา มีความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01
Download
|
ดูรายการทั้งหมด |