1 |
เกณฑ์การประเมินความเสี่ยงของงานพัสดุจากกรณีตัวอย่างมหาวิทยาลัยมหิดล
ผู้แต่ง:
พิชามญชุ์ กาหลง
ฉบับที่ 3 เดือน
กันยายน - ธันวาคม ปี 2564
Keyword:
ประเมินความเสี่ยง, งานพัสดุ, มหาวิทยาลัยมหิดล
หน้า: 154 - 164
(Download: 262 ครั้ง)
|
บทคัดย่อ
บทความนี้ผู้เขียนได้นำเสนอระบบบริหารความเสี่ยงในงานพัสดุจากกรณีตัวอย่างมหาวิทยาลัยมหิดล โดยเริ่มจากการกำหนดนโยบายบริหารความเสี่ยงงานพัสดุ การระบุความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น และผู้เขียนได้นำเสนอเหตุการณ์ความเสี่ยงของงานพัสดุ 3 ด้าน ดังนี้1) ด้านกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง ได้แก่ 1.1) คณะกรรมการดำเนินการจัดซื้อจัดจ้าง พิจารณาคุณสมบัติ ราคา การรายงานผลการพิจารณา ละเลย
การตรวจสอบเอกสาร หลักฐานของผู้ยื่นเสนอราคา 1.2) สินค้าหรือบริการที่ส่งมอบไม่ตรงกับใบสั่งซื้อ สั่งจ้าง สัญญา 1.3) ความล่าช้าในกระบวนการการจัดซื้อจัดจ้าง 1.4) การจัดทำร่างขอบเขตของงาน (TOR) ไม่ได้แต่งตั้งบุคลการที่ชำนาญเป็นคณะกรรมการในโครงการที่จัดซื้อ 1.5) การจัดทำราคากลางสูงเกินความเป็นจริง 1.6) เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานทำผิดกฎระเบียบข้อบังคับ 2) ด้านการบริหารสัญญา ได้แก่ 2.1) การจัดทำสัญญาโดยมีข้อความหรือสาระสำคัญในสัญญาผิด 2.2) เอกสารการจัดซื้อจัดจ้างงานพัสดุเสี่ยงต่อการสูญหาย 2.3) การแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจรับพัสดุขาดความรู้ ความชำนาญในพัสดุที่ได้ดำเนินการจัดซื้อหรือจ้าง 2.4) ไฟล์สำเนาเอกสารการจัดซื้อจัดจ้างงานพัสดุเสี่ยงต่อการสูญหาย3) ด้านการควบคุมพัสดุ ได้แก่ 3.1) ทะเบียนคุมครุภัณฑ์ขาดความครบถ้วน ไม่สมบูรณ์ 3.2) การบันทึกรายการวัสดุสำรองคลังไม่ถูกต้อง 3.3) ทรัพย์สินมีค่าสูญหาย 3.4) ไม่จัดทำเอกสาร หลักฐานการส่งมอบครุภัณฑ์ให้แก่ผู้ใช้งาน 3.5) บุคลากรได้รับอุบัติเหตุจากการเข้าพื้นที่ห้องเก็บพัสดุ 3.6) การลดลงของพื้นที่ใช้สอยในห้องเก็บพัสดุ ผู้เขียนคาดหวังว่าองค์ความรู้จากบทความนี้จะเป็นประโยชน์และสามารถนำไปใช้ประเมินความเสี่ยงในงานพัสดุของมหาวิทยาลัยในประเทศไทยต่อไป
Download
|
2 |
การสร้างและการตรวจสอบคุณภาพแบบสอบถามสำหรับการวิจัย
ผู้แต่ง:
ศักดิ์ชัย จันทะแสง
ฉบับที่ 1 เดือน
มกราคม-เมษายน ปี 2567
Keyword:
แบบสอบถาม, การตรวจสอบคุณภาพ, ความเที่ยงตรง, ความเชื่อมั่น
หน้า: 1 - 15
(Download: 243 ครั้ง)
|
บทคัดย่อ
บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอสาระสำคัญเกี่ยวกับการตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือวิจัย ได้แก่ การสร้างแบบสอบถาม การตรวจสอบคุณภาพ และการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูปทางสถิติเพื่อวิเคราะห์ความเที่ยงตรงและความเชื่อมั่นของแบบสอบถาม ซึ่งแบบสอบถามเป็นที่นิยมใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อใช้ในการวิเคราะข้อมูลห์สำหรับการวิจัยเชิงปริมาณ เป็นวิธีที่ทำได้ง่ายไม่ยุ่งยากซับซ้อนมากนัก ประหยัดเวลา แรงงาน และค่าใช้จ่าย และสามารถใช้เก็บข้อมูลได้พร้อมกันในจำนวนมาก ๆ โดยเฉพาะในการวิจัยทางสังคมศาสตร์ มีขั้นตอนสำคัญคือ 1) กระบวนการสร้างแบบสอบถาม ซึ่งมีขั้นตอน ดังนี้ 1.1) การออกแบบและ การสร้างแบบสอบถาม และ 1.2) การทดสอบแบบสอบถามเบื้องต้น และ 2) การตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือวิจัย ซึ่งสิ่งที่ต้องตรวจสอบ เช่น 1.1) ความเที่ยงตรง 1.2) ความเชื่อมั่น 1.3) ความยากง่ายและอำนาจการจำแนก1.4) ความเป็นปรนัย 1.5) ความมีประสิทธิภาพ 1.6) ความไว 1.7) ความเป็นมิติเดียว และ 1.8) ความง่ายต่อ การนำไปใช้ แต่ทั้งนี้การตรวจสอบคุณภาพขึ้นอยู่กับลักษณะของเครื่องมือวิจัยแต่ละชนิดว่าควรตรวจสอบอะไรบ้าง เพื่อให้ครอบคลุมเนื้อหาหรือสามารถนำไปวัดค่าได้ตรงกับสิ่งที่ต้องการจะวัดให้มากที่สุด
Download
|
3 |
การพัฒนาคู่มือปฏิบัติงานการบริหารจัดการความเสี่ยง บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร
ผู้แต่ง:
ธีรเดช จันทามี
ฉบับที่ 1 เดือน
มกราคม-เมษายน ปี 2567
Keyword:
การพัฒนา, คู่มือการบริหารจัดการความเสี่ยง, บัณฑิตวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร
หน้า: 215 - 226
(Download: 198 ครั้ง)
|
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาคู่มือปฏิบัติงานการบริหารจัดการความเสี่ยง บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร 2) ศึกษาความพึงพอใจต่อการใช้คู่มือปฏิบัติงานการบริหารจัดการความเสี่ยง บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย จำนวน 30 คน ซึ่งได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) คือ อาจารย์ ผู้บริหาร 7 คน และบุคลากรสายสนับสนุน 23 คน เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ คู่มือปฏิบัติงานและแบบประเมินความพึงพอใจ ความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.92 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1) พัฒนาคู่มือปฏิบัติงานการบริหารจัดการความเสี่ยง มีระบบและขั้นตอนการบริหารจัดการความเสี่ยงที่ชัดเจน มีตัวอย่างวิธีการระบุความเสี่ยง วิธีกำหนดปัจจัยความเสี่ยง และมีแผนผังการปฏิบัติงาน ประสิทธิภาพของคู่มือผ่านเกณฑ์ 80/80 ตามที่กำหนด (E181.83/E2 85.87) 2) ผลการประเมินความพึงพอใจต่อการใช้คู่มือปฏิบัติงานที่สร้างขึ้นโดยรวมอยู่ในระดับมาก
Download
|
4 |
การพัฒนาคู่มือการปฏิบัติงานสำหรับผู้นำนิสิตคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร
ผู้แต่ง:
นนทวัช ศรีแสงฉาย
ฉบับที่ 2 เดือน
พฤษภาคม-สิงหาคม ปี 2567
Keyword:
คู่มือการปฏิบัติงาน, ผู้นำนิสิต, การพัฒนาคู่มือ
หน้า: 22 - 36
(Download: 182 ครั้ง)
|
บทคัดย่อ
การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาและวิเคราะห์ปัญหาด้านการปฏิบัติงานของผู้นำนิสิตคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร 2) สร้างและหาคุณภาพคู่มือการปฏิบัติงาน 3) ทดลองใช้คู่มือการปฏิบัติงาน 4) ประเมินผลการใช้คู่มือการปฏิบัติงาน โดยมีกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ ผู้นำนิสิตประจำปี 2565 จำนวน 32 คน ผู้นำนิสิตประจำปี 2566 จำนวน 40 คน รองคณบดีและบุคลากรงานกิจการนิสิต จำนวน 2 คน เครื่องมือที่ใช้ประกอบไปด้วยแบบสัมภาษณ์ คู่มือการปฏิบัติงาน แบบประเมินคุณภาพคู่มือการปฏิบัติงาน แบบประเมินตนเองก่อนหลังการทดลองใช้คู่มือการปฏิบัติงาน แบบประเมินผลการปฏิบัติงานของผู้นำนิสิตคณะศึกษาศาสตร์ แบบประเมินความพึงพอใจที่มีต่อคู่มือการปฏิบัติงาน วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณโดยใช้ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพโดยการวิเคราะห์คำหลัก (Domain Analysis) และการสร้างข้อสรุปแบบอุปนัย (Analysis Induction) ผลวิจัยพบว่า 1) ปัญหาในการปฏิบัติงานของผู้นำนิสิต คือ ผู้นำนิสิตไม่ทราบแนวทาง การจัดกิจกรรม ขั้นตอนการปฏิบัติงานด้านต่าง ๆ เอกสารที่เกี่ยวข้องกระจัดกระจาย ยากต่อการค้นหา ทำให้การดำเนินงานล่าช้า ผิดขั้นตอน และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ต้องตอบคำถามซ้ำ ๆ แก่ผู้นำนิสิต 2) ผลประเมินคุณภาพคู่มือการปฏิบัติงานสำหรับผู้นำนิสิตคณะศึกษาศาสตร์ในภาพรวม มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก (mean = 4.47, S.D. = 0.53) 3) การเปรียบเทียบผลประเมินตนเองของผู้ใช้ก่อนและหลังทดลองใช้คู่มือ พบว่า ผู้ใช้มีระดับการรับรู้หลังทดลองใช้คู่มือ สูงกว่าก่อนทดลองใช้คู่มือในทุกด้าน 4) ผลประเมินการปฏิบัติงานของผู้นำนิสิต พบว่าผู้นำนิสิตสามารถดำเนินการตามขั้นตอนการปฏิบัติงานแต่ละด้านได้อย่างถูกต้อง 100% 5) ผลประเมินความพึงพอใจที่มีต่อคู่มือการปฏิบัติงานในภาพรวม อยู่ในระดับมาก (mean = 4.46, S.D. = 0.52)
Download
|
5 |
แนวทางการดำเนินงานตามเกณฑ์คุณภาพการศึกษาเพื่อการดำเนินงานที่เป็นเลิศ (EdPEx) คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
ผู้แต่ง:
ชยภร ศิริโยธา
ฉบับที่ 2 เดือน
พฤษภาคม-สิงหาคม ปี 2564
Keyword:
แนวทาง, การดำเนินงาน, เกณฑ์คุณภาพการศึกษา, การดำเนินงานที่เป็นเลิศ
หน้า: 129 - 137
(Download: 171 ครั้ง)
|
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาแนวทางที่สำคัญต่อการดำเนินงานที่เป็นเลิศ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม นำไปสู่การเข้าร่วมโครงการ EdPEx200 กลุ่มตัวอย่างการวิจัยประกอบด้วย ผู้บริหาร คณะกรรมการประจำคณะ หัวหน้ากลุ่มงานและบุคลากรของคณะวิศวกรรมศาสตร์ โดยเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง จำนวน 48 คน ที่มีหน้าที่รับผิดชอบและปฏิบัติงานตามเกณฑ์คุณภาพการศึกษาที่เป็นเลิศ เครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์และเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และวิเคราะห์ข้อมูลในรูปแบบค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยและค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน นำเสนอในรูปแบบสถิติเชิงพรรณนา ผลวิจัยพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่อยู่ในสถานภาพ พนักงานมหาวิทยาลัย จำนวน 22 คน ร้อยละ 45.83 ตำแหน่งเจ้าหน้าที่สายสนับสนุน จำนวน 34 คน ร้อยละ 70.83 ระยะเวลาการปฏิบัติงานในคณะวิศวกรรมศาสตร์ มากกว่า 10 ปีขึ้นไป จำนวน 21 คน ร้อยละ 43.75 และมีประสบการณ์การปฏิบัติงานตามเกณฑ์คุณภาพการศึกษาเพื่อการดำเนินงานที่เป็นเลิศต่ำกว่า 1 ปี จำนวน 41 คน ร้อยละ 85.42 เมื่อทำการพิจารณาถึงแนวทางที่สำคัญต่อการดำเนินงานที่เป็นเลิศ (EdPEx) คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคามที่นำไปสู่การเข้าร่วมโครงการ EdPEx200 พบว่า ในภาพรวม ( =3.99, S.D.=0.57) ระดับแนวทางการดำเนินงานตามเกณฑ์มาก และเมื่อทำการพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า บทบาทผู้บริหารการนำองค์กร สูงเป็นอันดับแรก ( =4.16, S.D.=0.55) ระดับแนวทางการดำเนินงานตามเกณฑ์มาก รองลงมาได้แก่ การนำองค์กรอย่างมียุทธศาสตร์และกลยุทธ์( =4.12, S.D.=0.57) การสื่อสารและการสร้างความเข้าใจ ( =4.10, S.D.=0.45) การถ่ายทอดค่านิยมให้เกิดผลทางปฏิบัติ ( =4.04, S.D.=0.43) การตั้งเป้าหมายความเป็นเลิศที่มุ่งเน้นลูกค้า ( =4.01, S.D.=0.50) การวัดผล วิเคราะห์ ปรับปรุงผลการดำเนินงาน ( =3.97, S.D.=0.71) การให้ความสำคัญกับบุคลากร ( =3.83, S.D.=0.68) และ
การออกแบบการบริหารจัดการกระบวนการ ( =3.71, S.D.=0.65)
Download
|
6 |
การเลือกใช้สถิติเพื่อการวิจัยในการทำผลงานทางวิชาการของบุคลากรสายสนับสนุน
ผู้แต่ง:
ศักดิ์ชัย จันทะแสง
ฉบับที่ 2 เดือน
พฤษภาคม-สิงหาคม ปี 2566
Keyword:
สถิติ, บุคลากรสายสนับสนุน, ผลงานทางวิชาการ
หน้า: 1 - 10
(Download: 167 ครั้ง)
|
บทคัดย่อ
การเลือกใช้สถิติเพื่อการวิจัยในการทำผลงานทางวิชาการของบุคลากรสายสนับสนุนมีความแตกต่างกัน
ขึ้นอยู่กับปัญหาการวิจัยแต่ละเรื่อง ซึ่งการเลือกสถิติที่เหมาะสมในการวิเคราะห์ข้อมูล โดยพิจารณาจากคำถาม
วัตถุประสงค์การวิจัยหรือสมมติฐานการวิจัย การออกแบบวิจัย และข้อควรระวังในการเลือกใช้สถิติเพื่อการวิจัยที่
สำคัญคือ 1) อำนาจการทดสอบต่ำ เนื่องมาจากขนาดตัวอย่างไม่เพียงพอ และ 2) การฝ่าฝืนข้อตกลงเบื้องต้นของ
การทดสอบทางสถิติ แต่การเลือกใช้สถิติควรพิจารณาองค์ประกอบอื่น ๆ เช่น ตัวแปร ระดับของการวัด การสุ่ม
กลุ่มตัวอย่างหรือใช้ประชากรทั้งหมด องค์ประกอบเหล่านี้จำเป็นต้องนำมาร่วมพิจารณาในการตัดสินใจเลือกใช้
สถิติด้วยทุกครั้ง เพื่อไห้ได้ผลการวิเคราะห์ที่ถูกต้องแม่นยำ และความเชื่อมั่นอันจะนำไปสู่ผลการวิจัยที่มีคุณภาพ
Download
|
7 |
การประยุกต์ใช้ คิวอาร์โค้ด กูเกิลฟอร์ม และ กูเกิลคาเลนดาร์ ในการบริหารจัดการระบบจองห้องเรียน
ผู้แต่ง:
ณัฎฐนิช พยนต์ยิ้ม, ปภาอร เขียวสีมา, ลักษิกา สว่างยิ่ง, พรพัฒน์ ธีรโสภณ
ฉบับที่ 2 เดือน
พฤษภาคม-สิงหาคม ปี 2565
Keyword:
คิวอาร์โค้ด, กูเกิลฟอร์ม, กูเกิลคาเลนดาร์
หน้า: 182 - 192
(Download: 159 ครั้ง)
|
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนาระบบจองห้องโดยประยุกต์ใช้ คิวอาร์โค้ด จากกูเกิลฟอร์มและกูเกิลคาเลนดาร์ และประเมินความพึงพอใจโดยรวมของผู้ใช้งานระบบการจองห้องด้วย คิวอาร์โค้ด กูเกิลฟอร์มร่วมกับกูเกิลคาเลนดาร์โดยการสร้างระบบการจองห้องและการตรวจสอบสถานะห้อง ประเมินความเหมาะสมของระบบการจองห้อง และสำรวจความพึงพอใจจากบุคลากรและนิสิตคณะทันตแพทยศาสตร์ เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล คือ แบบสอบถามประมาณค่า 5 ระดับ นำเสนอข้อมูลด้วยค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า คิวอาร์โค้ด กูเกิลฟอร์มและ กูเกิลคาเลนดาร์สามารถนำมาประยุกต์ใช้พัฒนาระบบได้เป็นอย่างดี จากผลการประเมินความเหมาะสมของระบบการจองห้องด้วย คิวอาร์โค้ด กูเกิลฟอร์ม และ กูเกิลคาเลนดาร์ โดยผู้เชี่ยวชาญ พบว่า ภาพรวมมีความเหมาะสมมาก ( = 4.33, s = 0.33) จากการประเมินความพึงพอใจของผู้ใช้งานระบบจำนวน 108 คน พบว่า ระบบคิวอาร์โค้ด กูเกิลฟอร์มมีความพึงพอใจโดยรวมอยู่ในระดับดี ( = 4.43, S.D. = 0.62) และระบบ กูเกิลคาเลนดาร์ มีความพึงพอใจโดยรวมอยู่ในระดับดี ( = 4.36, S.D. = 0.65) ผลการวิจัยสรุปได้ว่า การประยุกต์ใช้ระบบ ระบบคิวอาร์โค้ด กูเกิลฟอร์มร่วมกับ กูเกิลคาเลนดาร์ ในการบริหารจัดการระบบการจองห้องคณะทันตแพทยศาสตร์ ผู้ใช้ระบบ มีความคิดเห็นว่าระบบจองห้องที่ทำขึ้น มีความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น สามารถลดขั้นตอนและเวลาในการจองห้อง ระบบมีความเป็นปัจจุบันทันสมัย ช่วยประหยัดเวลา และแบ่งเบาภาระของเจ้าหน้าที่ได้เป็นอย่างดี
Download
|
8 |
การนำระบบเครือข่ายการประกันคุณภาพมหาวิทยาลัยอาเซียน (AUN-QA) มาใช้ในการประเมินคุณภาพ การศึกษาระดับหลักสูตร กรณีศึกษา: คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
ผู้แต่ง:
ชยภร ศิริโยธา
ฉบับที่ 3 เดือน
กันยายน - ธันวาคม ปี 2566
Keyword:
ระบบเครือข่าย, ประกันคุณภาพมหาวิทยาลัยอาเซียน, ระดับหลักสูตร
หน้า: 98 - 109
(Download: 157 ครั้ง)
|
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการนำระบบเครือข่ายการประกันคุณภาพมหาวิทยาลัยอาเซียน (AUN-QA) มาใช้ในการประเมินคุณภาพการศึกษาระดับหลักสูตร กรณีศึกษา : คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม มีประชากรที่ใช้ในการวิจัย จำนวน 59 คน เครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถาม มาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ค่าความเชื่อมั่นอยู่ที่ 0.75-1.00 มีค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของ Cronbach เท่ากับ 0.81 พบว่า 1) สถานภาพผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศชาย จำนวน 48 คน ร้อยละ 81.36 อยู่ในตำแหน่งอาจารย์ผู้รับผิดชอบหลักสูตร จำนวน 25 คน ร้อยละ 42.37 ระยะเวลาการปฏิบัติงาน 10–15 ปี จำนวน 30 คน ร้อยละ 50.85 2) การมีส่วนร่วมของผู้ที่เกี่ยวข้องต่อการสนับสนุนการดำเนินงานโดยการใช้เกณฑ์ AUN-QA ในการประกันคุณภาพการศึกษาระดับหลักสูตรภายในคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก ( = 4.38, S.D. = 0.74) เมื่อทำการพิจารณาเป็นรายหัวข้อทั้ง 7 หัวข้อ พบว่า อยู่ในระดับมากที่สุดถึงมาก 3) การสนับสนุนของหน่วยงานในระดับมหาวิทยาลัยและคณะที่จัดการเรียนการสอนต่อการนำเกณฑ์ AUN-QA มาพัฒนาการประกันคุณภาพการศึกษาระดับหลักสูตรภายในคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก ( = 4.07, S.D. = 0.75) เมื่อทำการพิจารณาเป็นรายหัวข้อทั้ง 6 หัวข้อ พบว่า อยู่ในระดับมาก และ 4) ปัจจัยแห่งความสำเร็จในการใช้เกณฑ์ AUN-QA ในการประกันคุณภาพการศึกษาระดับหลักสูตรภายในคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก ( = 4.07, S.D. = 0.74) เมื่อทำการพิจารณาเป็นรายหัวข้อทั้ง 6 หัวข้อ พบว่า อยู่ในระดับมาก
Download
|
9 |
การพัฒนาระบบการจัดการสารเคมีของห้องปฏิบัติการเทคโนโลยีวัสดุภัณฑ์ คณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
ผู้แต่ง:
วริญดา ประทุมวัลย์
ฉบับที่ 1 เดือน
มกราคม-เมษายน ปี 2566
Keyword:
การจัดการสารเคมี, ห้องปฏิบัติการปลอดภัย, ลีน, ฐานข้อมูลสารเคมี
หน้า: 185 - 195
(Download: 134 ครั้ง)
|
บทคัดย่อ
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาระบบการจัดการสารเคมี ซึ่งประกอบด้วยการจัดทำระบบฐานข้อมูลสารเคมี และพัฒนาระบบการจัดเก็บสารเคมีที่ปลอดภัยสำหรับห้องปฏิบัติการเทคโนโลยีวัสดุภัณฑ์ ระบบการจัดการสารเคมีได้รับการพัฒนาขึ้นตามแนวทางการจัดการแบบลีน โดยรวบรวมรายชื่อสารเคมีที่มีอยู่และวิเคราะห์ปัญหาที่ก่อให้เกิดการมีสารเคมีที่ไม่จำเป็นก่อนจะพัฒนาวิธีการจัดการสารเคมีและประเมินประสิทธิภาพของกระบวนการ จากผลการวิจัยพบว่า ในปัจจุบันห้องปฏิบัติการเทคโนโลยีวัสดุภัณฑ์มีรายการสารเคมี จำนวน 132 รายการ จากสารเคมีทั้งหมดมีสารเคมีหมดอายุจำนวน 12 ชนิด และสารเคมีที่ถูกใช้สำหรับการทดลองในห้องปฏิบัติการอีก 68 ชนิด ซึ่งมีนัยว่ายังมีสารเคมีที่เหลืออีกจำนวนมากที่ไม่จำเป็นต้องใช้ในห้องปฏิบัติการ ทั้งนี้เป็นเพราะขาดระบบการจัดการสารเคมีที่ดี ในการจัดทำระบบการจัดการสารเคมี สารเคมีทั้งหมดได้ถูกจำแนกประเภทตามสัญลักษณ์สีและเก็บไว้ในภาชนะพลาสติกเพื่อความปลอดภัยในกรณีที่สารเคมีรั่วไหล เมื่อเทียบขั้นตอนการจัดการสารเคมีทั่วไป พบว่า ระบบการจัดการที่พัฒนาขึ้นสามารถปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานได้ถึงร้อยละ 68 การจัดเก็บสารเคมีในห้องปฏิบัติการมีระเบียบและสะดวกยิ่งขึ้นในการทำงาน นอกจากนี้ยังพบว่าคะแนนความปลอดภัยในห้องปฏิบัติการ (ในกรณีของระบบการจัดการสารเคมี) จากร้อยละ 14.28 เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 88.57 เมื่อประเมินโดยใช้รายการตรวจสอบตามมาตรฐาน การปรับปรุงการปฏิบัติงานด้านความปลอดภัยของห้องปฏิบัติการวิจัยของประเทศไทย (ESPReL)
Download
|
10 |
ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกศึกษาต่อระดับปริญญาตรี คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ปีการศึกษา 2565
ผู้แต่ง:
ชยภร ศิริโยธา
ฉบับที่ 2 เดือน
พฤษภาคม-สิงหาคม ปี 2566
Keyword:
ปัจจัยที่มีผล , การตัดสินใจ, ศึกษาต่อ, ระดับปริญญาตรี
หน้า: 46 - 55
(Download: 133 ครั้ง)
|
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจเข้าศึกษาต่อระดับปริญญาตรีของนักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ประจำปีการศึกษา 2565 มีกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ใน การวิจัย จำนวน 297 คน โดยการใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย เครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถาม (Questionnaire) มาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ค่าความเชื่อมั่นอยู่ที่ 0.76 - 1.00 มีค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของ Cronbach เท่ากับ 0.83 และแบบสัมภาษณ์แบบเจาะลึก มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.81 – 1.00 มีค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของ Cronbach เท่ากับ 0.87 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน นำเสนอผลวิจัยในรูปแบบสถิติเชิงพรรณนา พบว่า ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกศึกษาต่อระดับปริญญาตรี คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ปีการศึกษา 2565 ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก ( =4.35, S.D.=0.69) และเมื่อทำการพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านภาพลักษณ์คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม สูงเป็นอันดับแรกอยู่ในระดับมากที่สุด ( =4.53, S.D.=0.67) รองลงมาอยู่ในระดับมากทุกด้าน ได้แก่ ด้านหลักสูตรการจัดการเรียนการสอน ( =4.49, S.D.=0.63) ด้านครอบครัว ( =4.40, S.D.=0.64) ด้านอาจารย์ ( =4.35, S.D.=0.67) ด้านการประชาสัมพันธ์ ( =4.30, S.D.=0.65) ด้านเหตุผลส่วนบุคคล ( =4.21, S.D.=0.87) และด้านสภาพแวดล้อม ( =4.17, S.D.=0.76)
Download
|
11 |
การมีส่วนร่วมการปฏิบัติงานตามเกณฑ์คุณภาพการศึกษาเพื่อการดำเนินงานที่เป็นเลิศ ของบุคลากรคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
ผู้แต่ง:
ชยภร ศิริโยธา
ฉบับที่ 1 เดือน
มกราคม-เมษายน ปี 2564
Keyword:
คุณภาพการศึกษา, การดำเนินงานที่เป็นเลิศ, การมีส่วนร่วม
หน้า: 168 - 177
(Download: 126 ครั้ง)
|
บทคัดย่อ
งานวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการมีส่วนร่วมการปฏิบัติงานตามเกณฑ์คุณภาพการศึกษาเพื่อการดำเนินงานที่เป็นเลิศของบุคลากรคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม จากเกณฑ์การประเมินทั้ง 7 หมวด กลุ่มตัวอย่างการวิจัยประกอบด้วย ผู้บริหาร คณะกรรมการประจำคณะ หัวหน้ากลุ่มงานและบุคลากรของคณะโดยเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง จำนวน 48 คน เครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์และเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และวิเคราะห์ข้อมูลโดยโปรแกรมสำเร็จรูปหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยและค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน นำเสนอในรูปแบบสถิติเชิงพรรณนา ผลวิจัยพบว่า 1) การมีส่วนร่วมการปฏิบัติงานตามเกณฑ์คุณภาพการศึกษาเพื่อการดำเนินงานที่เป็นเลิศ จำแนกตามสถานภาพ พบว่า บุคลากรส่วนใหญ่อยู่ในสถานภาพพนักงานมหาวิทยาลัย (ร้อยละ 45.83) ระยะเวลาการปฏิบัติงานมากกว่า 10 ปี (ร้อยละ 43.75) ประสบการณ์การปฏิบัติงานตามเกณฑ์คุณภาพฯ (ร้อยละ 85.42) เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า บุคลากรมีส่วนร่วมการปฏิบัติงานตามเกณฑ์คุณภาพฯ เป็นอันดับแรก คือ การเข้าร่วมรับการฝึกอบรมและการเป็นคณะกรรมการฯ (X̅=3.33, S.D.=1.13) รองลงมา ได้แก่ การเข้าร่วมรับฟังนโยบายฯ (X̅=3.13, S.D.=0.79) และการมีส่วนร่วมการปฏิบัติงานฯ (X̅=1.77, S.D.=0.84) และ 2) ปัญหาอุปสรรคการปฏิบัติงานตามเกณฑ์คุณภาพการศึกษาเพื่อการดำเนินการที่เป็นเลิศของบุคลากรคณะวิศวกรรมศาสตร์ จากเกณฑ์การประเมินทั้ง 7 หมวด พบว่า หมวดที่ 1) การนำองค์กรเป็นปัญหาและอุปสรรคต่อการปฏิบัติงานอันดับสูงสุด (X̅=4.27, S.D.=0.53) รองลงมา ได้แก่หมวดที่ 2) การวางแผนเชิงกลยุทธ์ (X̅=4.19, S.D.=0.55) หมวดที่ 7) ผลลัพธ์ (X̅=3.98, S.D.=0.69) หมวดที่ 5) การมุ่งเน้นบุคลากร (X̅=3.89, S.D.=0.61) หมวดที่ 6) การมุ่งเน้นปฏิบัติการ (X̅=3.82, S.D.=0.63) หมวดที่ 4) การวัดการวิเคราะห์และการจัดการความรู้ (X̅=3.69, S.D.=0.64) และหมวดที่ 3) การมุ่งเน้นลูกค้า (X̅=3.52, S.D.=0.71)
Download
|
12 |
การวิเคราะห์จำนวนนักศึกษาเต็มเวลาเทียบเท่าต่อจำนวนอาจารย์ประจำ (FTES) ที่มีผลต่อการดำเนินงานด้านประกันคุณภาพการศึกษาภายใน ระดับคณะ ประจำปีการศึกษา 2559 – 2563 ของคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง
ผู้แต่ง:
ชยภร ศิริโยธา
ฉบับที่ 3 เดือน
กันยายน - ธันวาคม ปี 2565
Keyword:
นักศึกษาเต็มเวลาเทียบเท่า, อาจารย์ประจำ, ประกันคุณภาพ
หน้า: 78 - 87
(Download: 121 ครั้ง)
|
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) วิเคราะห์ผลการคำนวณสัดส่วนจำนวนนักศึกษาเต็มเวลาเทียบเท่าต่อจำนวนอาจารย์ประจำตามเกณฑ์มาตรฐาน FTES ประจำปีการศึกษา 2559 – 2563 2) วิเคราะห์ความแตกต่างตามเกณฑ์มาตรฐาน FTES และตามคู่มือการประกันคุณภาพการศึกษาภายใน ระดับอุดมศึกษา พ.ศ.2557 และ 3) การแปลผลความแตกต่างจากเกณฑ์มาตรฐาน FTES เป็นค่าคะแนนการประกันคุณภาพการศึกษาภายใน ระดับคณะ ผู้วิจัยนำแบบบันทึกสรุปผลการวิเคราะห์ค่าความแตกต่างและแบบประเมินสรุปคะแนนการประเมินประกันคุณภาพการศึกษาภายใน ประจำปีการศึกษา 2559 – 2563 จำนวน 5 เล่ม และผลการวิเคราะห์ SWOT Analysis มาใช้เป็นเครื่องมือในการศึกษาวิเคราะห์ผลการดำเนินงาน พบว่า 1) สัดส่วนจำนวนนักศึกษาเต็มเวลาเทียบเท่าต่อจำนวนอาจารย์ประจำตามเกณฑ์มาตรฐาน FTES มีจำนวนสัดส่วนที่สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน อยู่ที่ 25.82 32.14 34.27 46.22 และ 51.75 2) ค่าความแตกต่างตามเกณฑ์มาตรฐาน FTES และตามคู่มือ การประกันคุณภาพการศึกษาภายใน ระดับอุดมศึกษา พ.ศ.2557 มีจำนวนค่าความแตกต่างที่สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน อยู่ที่ 5.82 (25.82 : 1) 12.14 (32.14 : 1) 14.27 (34.27 : 1) 26.22 (46.22 : 1) และ 31.75 (51.75 : 1) และ 3) การแปลผลความแตกต่างจากเกณฑ์มาตรฐาน FTES เป็นค่าคะแนนการประกันคุณภาพการศึกษาภายใน ระดับคณะ มีการแปลผลค่าคะแนนที่ไม่เป็นไปตามคู่มือประกันคุณภาพการศึกษาภายใน พ.ศ.2557 อยู่ที่ 29.08 (0.00 คะแนน) 60.69 (0.00 คะแนน) 71.37 (0.00 คะแนน) 131.08 (0.00 คะแนน) และ 158.76 (0.00 คะแนน) จากวิเคราะห์ผลการดำเนินงานในครั้งนี้จะนำไปกำหนดทิศทางการวางแผนวิเคราะห์ผลการดำเนินงานลงไปในรายหลักสูตรที่จัดการเรียนการสอนของคณะเพื่อหาแนวทางแก้ไขที่จะดำเนินงานให้บรรลุตามวัตถุประสงค์และเกณฑ์มาตรฐาน FTES ต่อไป
Download
|
13 |
การประยุกต์รูปแบบ ICT แจ้งเตือนสารสนเทศด้วยเทคนิค Line notify API ในสถานการณ์ COVID-19
ผู้แต่ง:
สาวิตรี วงษ์นุ่น
ฉบับที่ 3 เดือน
กันยายน-ธันวาคม ปี 2563
Keyword:
การแจ้งเตือน , การส่งข้อความอัตโนมัติ, ระบบสารสนเทศ
หน้า: 178 - 187
(Download: 119 ครั้ง)
|
บทคัดย่อ
การประยุกต์รูปแบบ ICT แจ้งเตือนสารสนเทศด้วยเทคนิค Line Notify API ร่วมกับระบบสารสนเทศมีหลักการทำงาน 3 ส่วน ได้แก่ การรับค่าข้อมูล การประมวลผลเพื่อการส่งค่าข้อมูลและการแสดงผลสารสนเทศไปยังกลุ่มเป้าหมาย โดยออกแบบหลักการทำงานเป็น 2 รูปแบบ ได้แก่ โปรแกรมที่พัฒนาขึ้นด้วยภาษา PHP และฟอร์มรับค่าสำเร็จรูป เพื่อส่งสารสนเทศอัตโนมัติเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ คือ เพื่อประยุกต์รูปแบบการสื่อสาร ICT แจ้งเตือนสารสนเทศด้วยเทคนิค Line Notify API ใช้งานร่วมกับระบบสารสนเทศองค์กรเพื่อแก้ปัญหาการเข้าถึงข้อมูลในสถานการณ์ COVID -19 ผลการประเมินการใช้งานระบบแบ่งออกได้เป็น 3 ด้าน ได้แก่ ด้านประสิทธิภาพของระบบ พบว่า ระดับความพึงพอใจด้วยคะแนนเฉลี่ยที่ 4.41 (SD = 0.40) อยู่ในระดับความพึงพอใจระดับดีมาก ด้านการออกแบบ พบว่า ความพึงพอใจของผู้ใช้งานค่าคะแนนอยู่ที่ 4.63 (SD = 0.41) อยู่ในระดับความพึงพอใจระดับดีที่สุด และด้านกระบวนการ/ขั้นตอนการใช้งานระบบ พบว่า ความพึงพอใจของผู้ใช้งานค่าคะแนนเฉลี่ย 4.50 (SD = 0.44) อยู่ในระดับความพึงพอใจระดับดีมาก ค่าเฉลี่ยรวมผลการประเมินความพึงพอใจจากผู้ใช้งานภาพรวมอยู่ 4.51 สรุปได้ว่าอยู่ในระดับดีที่สุด
Download
|
14 |
การวิเคราะห์ผลการประเมินตนเองตามมาตรฐานความปลอดภัยของ ห้องปฏิบัติการเคมีคลินิก คณะสหเวชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ผู้แต่ง:
วาทิศ วารายานนท์
ฉบับที่ 2 เดือน
พฤษภาคม-สิงหาคม ปี 2566
Keyword:
ความปลอดภัยในห้องปฏิบัติการ, มาตรฐานความปลอดภัย, ESPReL Checklist, BSL Checklist
หน้า: 134 - 143
(Download: 118 ครั้ง)
|
บทคัดย่อ
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจสภาพความปลอดภัยและวิเคราะห์ผลการประเมินตนเองของห้องปฏิบัติการเคมีคลินิก คณะสหเวชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยตามรายการสำรวจสภาพความปลอดภัยตามระบบมาตรฐานความปลอดภัยห้องปฏิบัติการวิจัยในประเทศไทย (ESPReL Checklist) และรายการสำรวจความปลอดภัยห้องปฏิบัติการทางชีวภาพ ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (BSL Checklist) ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบผลการประเมินตนเองตามมาตรฐานความปลอดภัยทั้ง 2 เครื่องมือของปี 2565 เทียบกับปี 2564 พบว่า (1) องค์ประกอบด้านความปลอดภัยทางเคมีจากการสำรวจด้วย ESPReL Checklist ใน 7 องค์ประกอบหลัก และมี 6 องค์ประกอบที่ต้องทำการยกระดับความปลอดภัย เนื่องจากมีร้อยละคะแนนอยู่ในช่วงร้อยละ 75–85 ได้แก่ องค์ประกอบที่ 1 การบริหารระบบการจัดการความปลอดภัย องค์ประกอบที่ 2.1 การจัดการข้อมูลสารเคมี องค์ประกอบที่ 3.2 การลดการเกิดของเสีย องค์ประกอบที่ 5.1 การบริหารความเสี่ยง องค์ประกอบที่ 5.3 ข้อปฏิบัติเพื่อความปลอดภัยโดยทั่วไป และองค์ประกอบที่ 7 การจัดการข้อมูลและเอกสาร ซึ่งห้องปฏิบัติการควรเร่งหาแนวทางหรือมาตรการมารองรับ เพื่อยกระดับความปลอดภัยของห้องปฏิบัติการให้สอดคล้องกับมาตรฐานความปลอดภัย และ (2) องค์ประกอบด้านความปลอดภัยทางชีวภาพจากการสำรวจด้วย BSL Checklist มีร้อยละคะแนนเกินร้อยละ 80 ทุกองค์ประกอบ
Download
|
15 |
ระบบจัดเก็บและสืบค้นเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ออนไลน์ โดยใช้ระบบยืนยันตัวตน CMU OAuth
ผู้แต่ง:
อริษา ทาทอง, ถนอม กองใจ
ฉบับที่ 2 เดือน
พฤษภาคม-สิงหาคม ปี 2564
Keyword:
เว็บแอปพลิเคชันออนไลน์, ระบบจัดเก็บ, สืบค้น, เอกสารอิเล็กทรอนิกส์
หน้า: 92 - 102
(Download: 115 ครั้ง)
|
บทคัดย่อ
การวิจัยนี้มีแนวคิดในการจัดทำระบบสำหรับจัดเก็บไฟล์เอกสารอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อเก็บรวบรวมเอกสารงานสารบรรณ เช่น คำสั่ง ประกาศ ระเบียบข้อบังคับ รายงานการประชุม โครงการ และเอกสารหลักสูตร ผู้ใช้งานสามารถสืบค้นไฟล์เอกสารได้ด้วยตนเองผ่านระบบอินเทอร์เน็ต ที่พัฒนาบนแพลตฟอร์มเว็บแอปพลิเคชันออนไลน์รองรับการใช้งานกับเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์สมาร์ตโฟน ระบบถูกพัฒนาด้วยภาษา PHP HTML และโปรแกรม WordPress ในการทำระบบบริหารจัดการข้อมูล และหน้าจอแสดงผล มีการลงชื่อเข้าใช้งานระบบด้วยบัญชีรายชื่อผู้ใช้ CMU IT Account ผ่านระบบยืนยันตัวตนของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ CMU OAuth โปรแกรมถูกทดลองติดตั้งและใช้จัดเก็บไฟล์เอกสารภาควิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ย้อนหลังตั้งแต่ปีงบประมาณ 2561 จนถึงปัจจุบัน ระบบกำหนดสิทธิการเข้าใช้งานระบบเฉพาะบุคลากรสังกัดภาควิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์ จำนวน 36 คน เป็นระยะเวลา 6 เดือน ผลการทดลองพบว่า ระบบช่วยอำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้งานในการสืบค้นเอกสาร ได้รับไฟล์เอกสารที่ถูกต้อง ลดเวลาและขั้นตอนการสืบค้นเอกสาร ช่วยพัฒนาการให้บริการและลดขั้นตอนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ธุรการในการสืบค้นเอกสารให้แก่บุคลากรที่ติดต่อขอใช้เอกสารรองรับการจัดเก็บไฟล์เอกสารได้หลายรูปแบบและจัดเก็บไฟล์ได้เป็นจำนวนมาก มีการจัดหมวดหมู่เอกสารให้สืบค้นได้ง่าย ลดการใช้ทรัพยากรกระดาษ ผู้วิจัยได้จัดทำแบบสอบถามประเมินความพึงพอใจจากผู้ใช้งานระบบ ผลประเมินความพึงพอใจโดยรวมของผู้ใช้งานมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.65 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.60 สรุปได้ว่าผู้ใช้งานมีความพึงพอใจอยู่ในเกณฑ์มากที่สุด ดังนั้นระบบที่จัดทำขึ้นนี้สามารถนำไปใช้จัดเก็บและสืบค้นเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ ให้สอดคล้องการบริหารงานตามแนวทางที่มุ่งเน้นประสิทธิภาพ ความคุ้มค่า และลดขั้นตอนการปฏิบัติงาน
Download
|
16 |
การพัฒนากระบวนการจัดการข้อมูลด้านความปลอดภัย และเหตุการณ์ ด้านความปลอดภัยของเครื่องแม่ข่าย คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
ผู้แต่ง:
ปิยะนันต์ จำนงสุทธเสถียร, พิชิต ลีรุ่งนาวารัตน์
ฉบับที่ 2 เดือน
พฤษภาคม-สิงหาคม ปี 2566
Keyword:
การจัดการข้อมูลด้านความปลอดภัย และเหตุการณ์ด้านความปลอดภัย, ความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์, ข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์
หน้า: 163 - 172
(Download: 109 ครั้ง)
|
บทคัดย่อ
การให้บริการเว็บไซต์ของคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล มีความเสี่ยงจากการโดนโจมตีทาง ไซเบอร์ และถูกบุกรุกเข้าสู่ระบบโดยไม่ได้รับอนุญาต จึงได้พัฒนากระบวนการจัดการข้อมูลด้านความปลอดภัย และเหตุการณ์ด้านความปลอดภัย (Security information and event management : SIEM) ของเครื่องแม่ข่าย คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล โดยวิเคราะห์ปัญหาและอุปสรรคของกระบวนการจัดการข้อมูลด้านความปลอดภัย และเหตุการณ์ด้านความปลอดภัยของเครื่องแม่ข่ายที่ให้บริการเว็บไซต์จำนวน 40 เครื่อง ที่ใช้ระบบปฏิบัติการและเว็บเซอร์วิสที่ต่างกันและศึกษาโปรแกรมประเภทโอเพนซอร์สที่มีความสามารถจัดการข้อมูลด้านความปลอดภัย และเหตุการณ์ด้านความปลอดภัยเพื่อนำมาพัฒนากระบวนการใหม่ พบว่าโปรแกรม Wazuh เป็นโปรแกรมประเภทโอเพนซอร์สที่มีความสามารถที่จะรวบรวมข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์จากเครื่องแม่ข่ายต่าง ๆ และนำมาวิเคราะห์ตรวจสอบข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์แบบ Real-time เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อเหตุการณ์ได้ทันท่วงที เช่น การปิดกั้นการเข้าถึงจากผู้ประสงค์ร้ายได้ และยังสามารถวิเคราะห์สืบสวนหาร่องรอยการโดนโจมตีในอดีตได้อีกด้วย จากการติดตั้ง ตั้งค่า ทดสอบประสิทธิภาพการทำงาน พบว่ากระบวนการทำงานใหม่มีการเก็บรวบรวมข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์มาทำการวิเคราะห์และตรวจสอบด้วยระบบอัตโนมัติแบบ Real-time สามารถค้นหาและคัดกรองข้อมูลเหตุการณ์ด้านความปลอดภัยที่ต้องการได้รวดเร็ว หากพบการโจมตีจะปิดกั้นโดยอัตโนมัติไม่ให้ผู้บุกรุกสามารถเข้าถึงเครื่องแม่ข่ายได้อีก รวมถึงโปรแกรมสามารถแสดงผลข้อมูลเหตุการณ์ด้านความปลอดภัยเป็นกราฟข้อมูลทางสถิติที่สามารถเข้าใจได้ง่าย อีกทั้งยังช่วยประหยัดงบประมาณค่าระบบจัดการข้อมูลด้านความปลอดภัย และเหตุการณ์ด้านความปลอดภัยได้หลายล้านบาทต่อปี
Download
|
17 |
สถานภาพงานสารบรรณและสมรรถนะของผู้ปฏิบัติงานด้านสารบรรณ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่
ผู้แต่ง:
อุดมศักดิ์ ปัญญาอินทร์
ฉบับที่ 3 เดือน
กันยายน-ธันวาคม ปี 2563
Keyword:
สภาพงานสารบรรณ, สมรรถนะ, ผู้ปฏิบัติงานด้านสารบรรณ
หน้า: 206 - 217
(Download: 108 ครั้ง)
|
บทคัดย่อ
งานวิจัยเชิงผสมผสานวิธีนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาสภาพงานสารบรรณ สมรรถนะการปฏิบัติงานของผู้ปฏิบัติงานสารบรรณ และพัฒนาข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อการพัฒนางานสารบรรณของมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ประชากรที่ใช้ในการศึกษาเป็นเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านสารบรรณที่ปฏิบัติงานในมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ จำนวน 52 คน และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเกี่ยวกับงานสารบรรณ จำนวน 8 คน เครื่องมือที่ใช้ศึกษาเป็นแบบสอบถามและการสนทนากลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลโดยสถิติเชิงพรรณนา และการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ผลการศึกษา พบว่า สภาพงานสารบรรณของมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่อยู่ในระดับมาก สมรรถนะของผู้ปฏิบัติงานด้านสารบรรณอยู่ในระดับมาก ทั้งนี้ มีข้อเสนอเชิงนโยบายโดยผู้บริหารมหาวิทยาลัยต้องส่งเสริมการพัฒนาแนวคิดใหม่ และการนำเทคโนโลยีมาร่วมในการพัฒนางานสารบรรณและสมรรถนะของผู้ปฏิบัติงาน
Download
|
18 |
การศึกษาแนวทางการปรับปรุงกระบวนการให้บริการยื่นขอกำหนดตำแหน่งทางวิชาการ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก
ผู้แต่ง:
ณัฐภัค อิ่มเอิบ
ฉบับที่ 1 เดือน
มกราคม-เมษายน ปี 2567
Keyword:
วิเคราะห์สภาพปัญหา, ปรับปรุงกระบวนการ, ผังก้างปลา , การยื่นขอตำแหน่งทางวิชาการ
หน้า: 197 - 204
(Download: 105 ครั้ง)
|
บทคัดย่อ
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์สภาพปัญหาในการกระบวนการให้บริการยื่นขอกำหนดตำแหน่งทางวิชาการและหาแนวทางการปรับปรุงกระบวนการให้บริการยื่นขอกำหนดตำแหน่งทางวิชาการ โดยทำการวิเคราะห์ขั้นตอนการปฏิบัติงาน ตั้งแต่ขั้นตอนการรับเอกสารจากอาจารย์ผู้มีความประสงค์ยื่นเอกสารมายังคณะ ไปจนถึงขั้นตอนการจัดส่งเอกสารเสนอชื่อผู้ทรงคุณวุฒิและเอกสารที่เกี่ยวข้อง จากคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ไปยังกองบริหารงานบุคคล มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก โดยใช้ผังก้างปลา (fishbone diagram) ร่วมกับ Why-Why Analysis โดยกำหนดปัจจัยที่คาดว่าสามารถทำให้เกิดปัญหา ได้แก่ ปัจจัยจากผู้ปฏิบัติงาน ปัจจัยจากอาจารย์ผู้ยื่นขอกำหนดตำแหน่ง ปัจจัยจากกระบวนการ และปัจจัยจากกฎ ระเบียบ ข้อบังคับ และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำข้อมูลที่ได้ไปใช้ในการปรับปรุงการดำเนินงานให้รวดเร็วและถูกต้อง ผลการวิจัยพบว่า ขั้นตอนที่มีปัญหาคือ 1) ขั้นตอนการรับเอกสาร 2) การตรวจสอบคุณสมบัติ 3) การเตรียมเอกสารสำหรับการเสนอผู้ทรงคุณวุฒิ และ 4) การทาบทามผู้ทรงคุณวุฒิ พบว่า ปัจจัยที่เป็นสาเหตุหลักของปัญหาคือ ปัจจัยจากอาจารย์ผู้ยื่นขอกำหนดตำแหน่ง และปัจจัยจากผู้ปฏิบัติงาน โดยปัจจัยจากอาจารย์ผู้ยื่นขอกำหนดตำแหน่ง มีสาเหตุมาจากการไม่ทราบข้อมูล แนวปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับการยื่นขอกำหนดตำแหน่ง และปัจจัยจากผู้ปฏิบัติงาน มีสาเหตุมาจากผู้ปฏิบัติงานไม่ได้แจ้งข้อมูลที่เกี่ยวข้องเป็นระยะและขาดการกำกับติดตามเอกสารที่เกี่ยวข้อง ผู้วิจัยได้ทำการศึกษาแนวทางปรับปรุงกระบวนการการให้บริการยื่นขอกำหนดตำแหน่งทางวิชาการ ดังนี้ 1) การแก้ไขปัญหาเข้าถึงข้อมูลของอาจารย์ผู้ยื่นขอกำหนดตำแหน่งทางวิชาการ สามารถแก้ปัญหาได้โดยมีการแจ้งแนวปฏิบัติและกำกับติดตามเป็นระยะ 2) การปฏิบัติงานของผู้ปฏิบัติงาน สามารถแก้ไขได้โดยผู้ปฏิบัติงานต้องมีการติดตามเอกสาร และกำหนดระยะเวลาดำเนินการให้ชัดเจน เพื่อประสานงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ 3) ผู้ปฏิบัติงานอาจจัดทำคู่มือการยื่นขอกำหนดตำแหน่งทางวิชาการเพื่อให้อาจารย์ผู้ยื่นขอกำหนดตำแหน่งทางวิชาการได้ปฏิบัติตามคู่มือ เพื่อลดปัญหาในการปฏิบัติงาน
Download
|
19 |
การศึกษาศักยภาพการวิเคราะห์สมบัติวิสโคอิลาสติกในตัวอย่างอาหาร ด้วยเครื่องรีโอมิเตอร์ คณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
ผู้แต่ง:
ปาริดา จันทร์สว่าง
ฉบับที่ 2 เดือน
พฤษภาคม-สิงหาคม ปี 2563
Keyword:
การสั่นทางพลวัต, การคืบและการคืน, อาหาร , รีโอมิเตอร์
หน้า: 102 - 111
(Download: 104 ครั้ง)
|
บทคัดย่อ
ความหลากหลายของตัวอย่างอาหารที่นำมาตรวจวิเคราะห์สมบัติวิสโคอิลาสติกด้วยเครื่องรีโอมิเตอร์ของคณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ยังมีค่อนข้างน้อย ทั้งนี้เนื่องจากผู้รับบริการยังไม่ทราบถึงศักยภาพการใช้เครื่องรีโอมิเตอร์ในการวิเคราะห์สมบัติวิสโคอิลาสติกในตัวอย่างอาหารชนิดต่าง ๆ ดังนั้นเพื่อรองรับการให้บริการของตัวอย่างที่หลากหลาย ผู้วิจัยจึงได้ศึกษาศักยภาพการวิเคราะห์สมบัติ วิสโคอิลาสติกในตัวอย่างอาหารที่แสดงพฤติกรรมเชิงรีโอโลยีที่หลากหลายด้วยเครื่องรีโอมิเตอร์ คณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ในตัวอย่างที่มีสถานะของเหลวและของเหลวกึ่งแข็ง โดยทดสอบการสั่นทางพลวัต (ความถี่ 0.1-100 rad/s) และการทดสอบการคืบและการคืน (ความเค้นเฉือน 10 Pa 200 วินาที) ผลการศึกษาพบว่า น้ำเชื่อมช็อกโกแลต และสตาร์ชมันสำปะหลัง ร้อยละ 6 มีสมบัติ วิสโคอิลาสติกคล้ายของไหล(tand≈1) แป้งถั่วเขียว ร้อยละ 6 ซอสพริก ซอสมะเขือเทศ แป้งกล้วย ความเข้มข้นร้อยละ 6 แป้งข้าวโพด ร้อยละ 6 และมายองเนส และโดขนมปังที่มีลักษณะคล้ายเจลอ่อน (0.15≤tand≤0.88) เจลลี่และวุ้นอ่อนมีสมบัติคล้ายเจลที่แท้จริง นอกจากนี้เครื่องรีโอมิเตอร์ยังมีศักยภาพในการทดสอบการคืบและการคืนโดยพบว่า ตัวอย่างเจลสตาร์ชมันสำปะหลัง ร้อยละ 8 เจลสตาร์ชข้าวเหนียวร้อยละ 8 เจลสตาร์ชข้าวหอมมะลิ ร้อยละ 8 โดขนมปัง ไส้กรอก ลูกชิ้นหมู ลูกชิ้นปลา และปูอัดมีลักษณะเป็นวิสโคอิลาสติก ตามรูปแบบของ Berger model ลูกชิ้นปลามีความเป็นวัสดุอิลาสติกสูงสุด (G0=9.5x104 Pa) โดขนมปังมีความเป็นวิสโคอิลาสติกสูงสุด (T1=30 s) ซึ่งเครื่องรีโอมิเตอร์ของคณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ สามารถรองรับการตรวจวิเคราะห์สมบัติวิสโคอิลาสติกในอาหารที่หลากหลายได้
Download
|
20 |
การพัฒนาระบบรายการเอกสารประกอบการสอนและสื่อการเรียนรู้ สำนักนวัตกรรมการเรียนรู้ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
ผู้แต่ง:
สุเมธ โอสถานนท์
ฉบับที่ 1 เดือน
มกราคม-เมษายน ปี 2567
Keyword:
การพัฒนาระบบ, เอกสารประกอบการสอน, สื่อการเรียนรู้
หน้า: 88 - 95
(Download: 103 ครั้ง)
|
บทคัดย่อ
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนาระบบรายการเอกสารประกอบการสอนและสื่อการเรียนรู้ สำนักนวัตกรรมการเรียนรู้ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ 2) เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของระบบ 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของผู้ใช้บริการระบบ กลุ่มตัวอย่าง คือ บุคลากรสายวิชาการ ของสำนักนวัตกรรมการเรียนรู้ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ จำนวน 18 คน ที่มีการส่งเอกสารประกอบการสอนและสื่อการเรียนรู้ของสำนักฯ ในรอบการประเมินที่ 1/2566 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) ระบบรายการเอกสารประกอบการสอนและสื่อการเรียนรู้ สำนักนวัตกรรมการเรียนรู้ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ 2) แบบประเมินประสิทธิภาพของระบบ โดยผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ 3) แบบประเมินความพึงพอใจจากผู้ใช้งาน ผลการวิจัยพบว่า ระบบเว็บไซต์ที่ได้พัฒนาขึ้นสามารถใช้งานได้จริง สามารถช่วยในการบริหารจัดการเว็บไซต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถปรับข้อมูลรายการเอกสารประกอบการสอนและสื่อการเรียนรู้เป็นปัจจุบัน และมีความถูกต้อง ส่วนผลประเมินความพึงพอใจ ค่าเฉลี่ยที่มีต่อระบบเว็บไซต์มีค่าเท่ากับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ความพึงพอใจด้านออกแบบระบบเว็บไซต์มีค่าเฉลี่ยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ย 4.74 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) มีค่าเท่ากับ 0.63 ด้านการใช้งานระบบเว็บไซต์มีค่าเฉลี่ยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ย 4.73 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) มีค่าเท่ากับ 0.67 และด้านข้อมูลของระบบเว็บไซต์มีค่าเฉลี่ยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ย 4.73 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) มีค่าเท่ากับ 0.64
Download
|
21 |
การวิเคราะห์ความคุ้มค่าของเครื่องมือวิทยาศาสตร์ สถานบริการวิชาการ ด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์ คณะวิทยาศาสตร์การแพทย์ มหาวิทยาลัยนเรศวร
ผู้แต่ง:
สุภาพรรณ เอกอุฬารพันธ์
ฉบับที่ 1 เดือน
มกราคม-เมษายน ปี 2563
Keyword:
ความคุ้มค่า, เครื่องมือวิทยาศาสตร์
หน้า: 156 - 162
(Download: 100 ครั้ง)
|
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ความคุ้มค่าของเครื่องมือวิทยาศาสตร์ สถานบริการวิชาการด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์ ช่วงปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 – 2560 โดยได้วิเคราะห์ข้อมูลจากเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการใช้บริการเครื่องมือวิทยาศาสตร์จากแบบบันทึกที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น และคำนวณสถิติ ค่าความถี่ ค่าเฉลี่ยและ ค่าร้อยละ ด้วยโปรแกรม Microsoft Excel นำข้อมูลทั้งหมดมาวิเคราะห์ความคุ้มค่าในด้านการบริหารจัดการที่เกิดประโยชน์สูงสุดในระดับบุคคล มีความประหยัดงบประมาณ และการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจํากัด เกิดประโยชน์อย่างคุ้มค่า ผลการวิจัย พบว่า เครื่องมือวิทยาศาสตร์ที่มีให้บริการจำนวน 144 รายการ มีการใช้บริการจริง จำนวน 116 รายการ คิดเป็นร้อยละ 80.56 โดยมีอัตราเฉลี่ยผู้ใช้บริการ 9 คนต่อรายการ และเป็นเครื่องมือวิทยาศาสตร์ที่มีอายุการใช้งานเกินเกณฑ์ 5 ปี ร้อยละ 88.79 นอกจากนี้ยังพบว่าห้องปฏิบัติการเลี้ยงเซลล์มีการใช้บริการมากที่สุด แสดงถึงความคุ้มค่าด้านการจัดห้องปฏิบัติการตามวัตถุประสงค์เฉพาะและมีเครื่องมือวิทยาศาสตร์ ที่ตรงกับความต้องการของผู้ใช้บริการ เกิดประโยชน์สูงสุดในการทำงานระดับบุคคล และพบว่า ตู้แช่แข็ง -80 องศาเซลเซียส เป็นเครื่องมือวิทยาศาสตร์ที่ใช้บริการคุ้มค่าที่สุด มีอายุการใช้งานนาน 12 ปี ใช้ในกิจกรรมการเรียนการสอนและการวิจัยของนิสิตและบุคลากรทุกภาควิชาของคณะวิทยาศาสตร์การแพทย์ ใช้งบประมาณการจัดซื้อและซ่อมบำรุงอัตราเฉลี่ยที่ 2,461.06 บาทต่อคน ข้อมูลจากการศึกษาครั้งนี้ จะเป็นแนวทางการตัดสินใจในการจัดสรรงบประมาณการจัดซื้อและซ่อมบำรุงเครื่องมือวิทยาศาสตร์ให้เกิดความคุ้มค่าสูงสุด แต่อย่างไรก็ตาม ต้องมีการหาแนวทางในการส่งเสริมการใช้บริการเครื่องมือวิทยาศาสตร์ที่ยังมีการใช้บริการน้อยต่อไป
Download
|
22 |
ความต้องการศึกษาต่อหลักสูตรปริญญาเอก (หลักสูตรบูรณาการ) คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ
ผู้แต่ง:
ธานินทร์ เงินถาวร , อทิตา มู่สา, พิธาน ดลหมาน, ยุทธชัย ด้วงสวัสดิ์
ฉบับที่ 2 เดือน
พฤษภาคม-สิงหาคม ปี 2566
Keyword:
ความต้องการศึกษาต่อ, หลักสูตรปริญญาเอก (หลักสูตรบูรณาการ), คณะนิติศาสตร์, มหาวิทยาลัยทักษิณ
หน้า: 144 - 151
(Download: 97 ครั้ง)
|
บทคัดย่อ
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความต้องการในการศึกษาต่อหลักสูตรปริญญาเอก (หลักสูตรบูรณาการ) คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ กลุ่มตัวอย่างในการศึกษาแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มที่ 1 ในการศึกษาเชิงคุณภาพใช้กลุ่มผู้ให้ข้อมูลหลัก จำนวน 12 คน ใช้วิธีการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interview) กลุ่มที่ 2 ในการศึกษาเชิงปริมาณ จะใช้กลุ่มตัวอย่างที่อยู่ในหน่วยงานต่าง ๆ ภายในพื้นที่ 14 จังหวัดภาคใต้ จากกลุ่มอาจารย์ประจำหลักสูตร กลุ่มนิสิตที่กำลังศึกษาในระดับบัณฑิตศึกษา กลุ่มบุคลากรภาครัฐ และกลุ่มผู้ประกอบการ จำนวน 175 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.953 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ สถิติเชิงพรรณนา สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน ผลการศึกษา พบว่า 1) เหตุผลในการศึกษาต่อ คือ ต้องการพัฒนาศักยภาพของตนเอง เพิ่มพูนความรู้ ต่อยอดทางธุรกิจหรือสายอาชีพกฎหมาย เนื้อหาสาระวิชาต้องเป็นการนำความรู้ด้านกฎหมายและศาสตร์อื่น ๆ มาบูรณาการให้อยู่ในรูปแบบสหวิทยาการ เวลาเรียนต้องเป็นนอกเวลาราชการและช่วงเสาร์-อาทิตย์ ส่วนใหญ่ใช้ทุนทรัพย์ส่วนตัวและทุนที่มาจากการสนับสนุนของหน่วยงานในการศึกษาต่อ ค่าเทอมที่เหมาะสมต่อภาคการศึกษา 50,000 บาท - 85,000 บาท หรือตลอดหลักสูตร 150,000 บาท - 350,000 บาท เน้นการทำวิทยานิพนธ์ มากกว่าการทำการค้นคว้าอิสระและวิจัยรูปแบบอื่น ๆ และเหตุผลในการเลือกสถานศึกษาในการศึกษาต่อ คือ ชื่อเสียงมหาวิทยาลัย และอยู่ใกล้กับสถานที่ทำงานและสถานที่พักอาศัย 2) ผลการศึกษาที่ได้จากกลุ่มตัวอย่าง พบว่า โดยภาพรวมปัจจัยต่าง ๆ ในการศึกษาต่อปริญญาเอก อยู่ในระดับมากที่สุด และเมื่อพิจารณาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ พบว่า ตัวแปรทั้ง 7 ตัวแปร มีนัยทางสถิติที่ระดับ 0.01
Download
|
23 |
การพัฒนาระบบติดตามผลสัมฤทธิ์การใช้จ่ายงบประมาณ ตามแผนปฏิบัติการงบประมาณผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตของกองนโยบายและแผน มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา
ผู้แต่ง:
ชัยวัฒน์ธนา รัตนศิริกรณ์, มังคลารัตน์ สำเนากลาง, นรากร งาคชสาร
ฉบับที่ 1 เดือน
มกราคม-เมษายน ปี 2567
Keyword:
ระบบติดตามผลสัมฤทธิ์, ผู้ดูแลระบบ, ผู้ใช้ระบบ, ประสิทธิภาพ, ความพึงพอใจ
หน้า: 38 - 48
(Download: 96 ครั้ง)
|
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อสร้างระบบติดตามผลสัมฤทธิ์การใช้จ่ายงบประมาณตามแผนปฏิบัติการงบประมาณ ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตของกองนโยบายและแผน มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา โดยเลือกหลักการทำงานแบบเว็บแอปพลิเคชัน ซึ่งทำงานร่วมกับเบราวเซอร์อื่น และตรงตามวัตถุประสงค์เป็น อย่างดี มีกลุ่มเป้าหมาย 2 กลุ่มได้แก่ 1. กลุ่มของการประเมินประสิทธิภาพของระบบ จากผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 คน 2.กลุ่มการประเมินความพึงพอใจจากพนักงานในสถาบันอุดมศึกษาสายสนับสนุน ที่รับผิดชอบงานด้านแผนและงบประมาณของหน่วยงานภายในมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา ปี 2562 จำนวน 52 คน ผลการศึกษา พบว่า ระบบติดตามผลสัมฤทธิ์การใช้จ่ายงบประมาณตามแผนปฏิบัติการงบประมาณ สามารถทำงานได้ตามวัตถุประสงค์ โดยสามารถช่วยในการติดตามผลสัมฤทธิ์การใช้จ่ายงบประมาณตามแผนปฏิบัติการงบประมาณของแต่ล่ะหน่วยงานในรูปแบบร้อยละ โดยมีผลการประเมินประสิทธิภาพจากผู้เชี่ยวชาญ อยู่ในระดับมาก ทุกด้าน ได้แก่ ด้านความต้องการ (
Download
|
24 |
ปัจจัยการเพิ่มประสิทธิภาพในการนำแผนกลยุทธ์ไปสู่การปฏิบัติของมหาวิทยาลัยคริสเตียน
ผู้แต่ง:
อิทธิพร ขำประเสริฐ, สุภัสสรา วิภากูล, นันทิดา แคน้อย
ฉบับที่ 2 เดือน
พฤษภาคม-สิงหาคม ปี 2563
Keyword:
ประสิทธิภาพ , แผนกลยุทธ์, การนำแผนไปสู่การปฏิบัติ
หน้า: 1 - 12
(Download: 93 ครั้ง)
|
บทคัดย่อ
การวิจัยเรื่อง ปัจจัยการเพิ่มประสิทธิภาพในการนำแผนกลยุทธ์ไปสู่การปฏิบัติของมหาวิทยาลัยคริสเตียนมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความคิดเห็นและเปรียบเทียบความคิดเห็นเกี่ยวกับปัจจัยการเพิ่มประสิทธิภาพในการนำแผนกลยุทธ์ไปสู่การปฏิบัติของมหาวิทยาลัยคริสเตียนจำแนกตามประเภทส่วนงาน กลุ่มตัวอย่าง คือ บุคลากรของมหาวิทยาลัยคริสเตียน จำนวน 186 คน ซึ่งกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างตามหลักการของเครซซีและมอร์แกน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม การตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือวิจัย มีค่าดัชนีความสอดคล้องเท่ากับ 0.96 และค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาเท่ากับ 0.982 สถิติที่ใช้ในการประมวลผลข้อมูลประกอบด้วยค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติทดสอบที และสถิติทดสอบเอฟ การวิจัยพบว่า ภาพรวมกลุ่มตัวอย่างมีความคิดเห็นเกี่ยวกับปัจจัยที่มีส่วนสำคัญต่อการเพิ่มประสิทธิภาพในการนำแผนกลยุทธ์ไปสู่การปฏิบัติของมหาวิทยาลัยคริสเตียนซึ่งอยู่ในระดับมาก ได้แก่ การจัดทำแผนปฏิบัติการเชิงกลยุทธ์ ( =3.82, S.D.=0.58) การมอบหมายกลยุทธ์ให้ผู้รับผิดชอบ ( =3.78, S.D.=0.63) การสื่อสารภายในองค์กร ( =3.73, S.D.=0.71) การกำหนดวัตถุประสงค์ระยะสั้น/ระยะยาว ( =3.69, S.D.=0.67) และวัฒนธรรมขององค์กร ( =3.64, S.D.=0.76) ตามลำดับ ส่วนปัจจัยที่กลุ่มตัวอย่างเห็นว่าควรจะต้องมีการเพิ่มประสิทธิภาพซึ่งอยู่ในระดับปานกลาง ได้แก่ ความสามารถขององค์กร ( =3.48, S.D.=0.59) การจัดการความขัดแย้ง ( =3.45, S.D.=0.79) และการบริหารการเปลี่ยนแปลงขององค์กร ( =3.44, S.D.=0.83) และพบว่า กลุ่มตัวอย่างที่สังกัดคณะวิชาและฝ่ายสนับสนุนวิชาการ มีความคิดเห็นเกี่ยวกับปัจจัยการเพิ่มประสิทธิภาพในการนำแผนกลยุทธ์ไปสู่การปฏิบัติเชิงกลยุทธ์ไม่แตกต่างกันที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05 กลุ่มตัวอย่างที่สังกัดคณะวิชาต่างกัน และฝ่ายสนับสนุนวิชาการต่างกัน มีความคิดเห็นเกี่ยวกับปัจจัยการเพิ่มประสิทธิภาพในการนำแผนกลยุทธ์ไปสู่การปฏิบัติเชิงกลยุทธ์แตกต่างกันที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05
Download
|
25 |
ผลของมอลโทเดกซ์ทรินต่อความคงสภาพของสารสกัดมะตูมที่ทำแห้งแบบพ่นฝอย
ผู้แต่ง:
สมชาย หลวงสนาม
ฉบับที่ 3 เดือน
กันยายน-ธันวาคม ปี 2563
Keyword:
มะตูม, มอลโทเดกซ์ทริน, ความคงสภาพ
หน้า: 21 - 29
(Download: 92 ครั้ง)
|
บทคัดย่อ
ผลมะตูม (Aegle marmelos (L.) เป็นสมุนไพรที่อุดมไปด้วยสารมีฤทธิ์ทางชีวภาพ สารสกัดหรือน้ำมะตูมจึงเป็นเครื่องดื่มที่น่าจะนำมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ การแปรรูปให้เป็นผงแห้งจะทำให้สะดวกต่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ การเก็บรักษาและขนส่ง แต่ในการทำให้แห้งพบปัญหาจากการที่อนุภาคหลอมติดกับเครื่องมือส่งผลให้สูญเสียผลผลิต งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปริมาณมอลโทเดกซ์ทรินที่เหมาะสมในกระบวนการทำแห้งแบบพ่นฝอยและความคงสภาพของสารสกัดมะตูมที่เก็บในอุณหภูมิห้องและป้องกันแสงเป็นเวลา 7 เดือน จากการศึกษาพบว่า ผงมะตูมที่ผสมมอลโทเดกซ์ทรินร้อยละ 0, 20, 40 และ 60 มีผลผลิตร้อยละ 2.98, 15.48, 26.31 และ 22.55 มีขนาดอนุภาคเฉลี่ย 5.27, 9.88, 11.49 และ 13.30 ไมโครเมตร ตามลำดับ จะเห็นว่าผลผลิตและขนาดอนุภาคของผงมะตูมเพิ่มขึ้นตามปริมาณมอลโทเดกซ์ทริน สีของผงมะตูมอ่อนลงและมีการกระจายตัวของอนุภาคดีขึ้นเมื่อเพิ่มปริมาณมอลโทเดกซ์ทริน ปริมาณมอลโทเดกซ์ทรินมีผลต่อการเพิ่มความชื้นและช่วยลดการทำลายฟลาโวนอยด์ โดยผงมะตูมที่ผสมมอลโทเดกซ์ทรินร้อยละ 60 มีความชื้นและปริมาณฟลาโวนอยด์สูงกว่าตัวอย่างอื่น ๆ ผลการศึกษาความคงสภาพ พบว่า การผสมมอลโทเดกซ์ทรินร้อยละ 60 จะช่วยควบคุมความชื้นของผงมะตูมให้คงที่และช่วยให้ฟลาโวนอยด์คงสภาพ สรุปว่าสภาวะดังกล่าวช่วยเพิ่มความคงสภาพของผงมะตูมและเหมาะสมต่อกระบวนการทำแห้งแบบพ่นฝอย แต่อาจต้องปรับสภาวะการพ่นให้เหมาะสมเพื่อเพิ่มปริมาณผลผลิต
Download
|
26 |
การประเมินความคาดหวังและความพึงพอใจของผู้ใช้บริการด้วยเทคนิคการวิเคราะห์ความสำคัญและผลการปฏิบัติงาน: กรณีศึกษางานสื่อสารองค์กรและวิเทศสัมพันธ์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
ผู้แต่ง:
ทิพย์วรรณ อุดทาคำ, นวพร แสงแดง
ฉบับที่ 2 เดือน
พฤษภาคม-สิงหาคม ปี 2564
Keyword:
ความคาดหวัง, ความพึงพอใจ, บริการ, การวิเคราะห์ความสำคัญและผลการปฏิบัติงาน
หน้า: 1 - 14
(Download: 90 ครั้ง)
|
บทคัดย่อ
การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์ 4 ข้อ เพื่อ 1. ศึกษาลักษณะทางประชากรของผู้ใช้บริการงานสื่อสารองค์กรและวิเทศสัมพันธ์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล 2. ศึกษาข้อมูลการใช้บริการงานสื่อสารองค์กรและวิเทศสัมพันธ์ 3. เปรียบเทียบความคาดหวัง และความพึงพอใจการใช้บริการงานสื่อสารองค์กรและวิเทศสัมพันธ์ และ 4. ประเมินระดับความสำคัญและผลการปฏิบัติงาน (Importance Performance Analysis: IPA) วิเคราะห์ลำดับความสำคัญในการปรับปรุงการให้บริการด้านสื่อสารองค์กรและวิเทศสัมพันธ์ในแต่ละด้าน เก็บข้อมูลผู้ใช้บริการ 172ตัวอย่าง สถิติที่ใช้ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าสัมประสิทธิ์การแปรผัน เปรียบเทียบความคาดหวัง และความพึงพอใจ โดยใช้การทดสอบ Paired Sample T-test กำหนดนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และประเมินระดับความสำคัญและผลการปฏิบัติงาน จากผลการเปรียบเทียบระหว่างความคาดหวังและความพึงพอใจด้วยเทคนิค IPA พบว่า ความคาดหวังของผู้ใช้บริการอยู่ในระดับมาก คะแนนเฉลี่ย 4.32 ในขณะที่ความพึงพอใจมีค่าต่ำกว่าความคาดหวัง โดยมีคะแนนเฉลี่ย 3.69 เมื่อวิเคราะห์เปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยความคาดหวังและความพึงพอใจในแต่ละมิติด้วยเทคนิค IPA พบว่า มิติด้านกระบวนการให้บริการ มิติด้านคุณภาพการให้บริการ และมิติด้านสถานที่ วัสดุอุปกรณ์ ทุกคุณลักษณะอยู่ใน ส่วนที่ 1 (Quadrant 1) ซึ่งเป็นคุณลักษณะที่มีความสำคัญมาก จำเป็นต้องได้รับความสนใจ และเร่งแก้ไขปรับปรุง ส่วนมิติด้านเจ้าหน้าที่ให้บริการ มี 6 คุณลักษณะอยู่ใน ส่วนที่ 1 (Quadrant 1) และ มี 2 คุณลักษณะ อยู่ใน ส่วนที่ 2 (Quadrant 2) ซึ่งหมายถึงปัจจุบันดำเนินงานที่ดีอยู่แล้ว ยังไม่จำเป็นต้องให้ความสำคัญในการจัดสรรทรัพยากรเพื่อการปรับปรุง และผู้วิจัยได้สรุปผลการวิจัยและนำเสนอเป็นข้อเสนอแนะ และแนวทาง การปรับปรุงแก้ไข เพื่อพัฒนาการให้บริการของงานสื่อสารองค์กรและวิเทศสัมพันธ์
Download
|
27 |
การปรับปรุงกระบวนการขอตำแหน่งทางวิชาการ สำนักวิชาสหเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์
ผู้แต่ง:
จรวยพร รอบคอบ
ฉบับที่ 1 เดือน
มกราคม-เมษายน ปี 2567
Keyword:
ปรับปรุงกระบวนการ, ตำแหน่งทางวิชาการ, สำนักงานคณบดี, แนวคิดลีน ECRS+it
หน้า: 73 - 87
(Download: 85 ครั้ง)
|
บทคัดย่อ
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ปัญหาอุปสรรคกระบวนการขอตำแหน่งทางวิชาการ สำนักวิชาสหเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ปรับปรุงและทดสอบประสิทธิภาพของกระบวนการใหม่ กลุ่มตัวอย่าง คือ พนักงานสายวิชาการที่ขอตำแหน่งทางวิชาการ ระหว่างวันที่ 1 มิถุนายน 2564 ถึง 31 พฤษภาคม 2565 จำนวน 25 คน มีขั้นตอนการวิจัยโดย 1) วิเคราะห์ปัญหาอุปสรรคด้วยการทบทวน Work Flowchart และเอกสารประวัติการขอตำแหน่งทางวิชาการ ใช้แบบสอบถามร่วมกับการสนทนากลุ่ม แบบสอบถามมีค่าความเชื่อมั่น (IOC) ระหว่าง 0.67 – 1.00 สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าสูงสุด ค่าต่ำสุด ค่าเฉลี่ย 2) ปรับปรุงกระบวนการโดยประยุกต์ใช้แนวคิดลีน ตามหลักการ ECRS+it เปรียบเทียบกระบวนการเดิมกับกระบวนการใหม่ และ 3) ทดสอบประสิทธิภาพกระบวนการใหม่ ผลการวิจัยพบว่า โดยภาพรวมดำเนินการได้ดี ปัญหาอุปสรรค ได้แก่ ระบบแจ้งความประสงค์และกรอบระยะเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดไม่ชัดเจน โดยที่กระบวนการเดิมมีระยะเวลาดำเนินการสูงสุด 277 วัน ต่ำสุด 15 วัน เฉลี่ย 61 วัน ไม่มีระบบติดตามความก้าวหน้าในการพิจารณาผลงานและระบบผู้เชี่ยวชาญให้คำปรึกษาในการเตรียมผลงาน แหล่งข้อมูลขั้นตอนกระบวนการไม่เป็นระบบและไม่สามารถเข้าถึงได้โดยง่าย เมื่อปรับปรุงกระบวนการ พบว่า สามารถจัดระเบียบกระบวนการเป็นแนวปฏิบัติเดียวกัน โดยกำหนดระยะเวลาเริ่มต้นจนสิ้นสุดได้แน่นอนภายใน 45 วันทุกคำขอ โดยการใช้ระบบปฏิทินปฏิบัติงานขอตำแหน่งทางวิชาการประจำวัน ใช้ระบบ SAH Smart Tracking ติดตามความก้าวหน้า การพิจารณาเอกสารรายบุคคล ใช้ระบบผู้เชี่ยวชาญให้คำปรึกษาในการจัดเตรียมผลงาน และสามารถเข้าถึงขั้นตอนกระบวนการขอตำแหน่งทางวิชาการโดยใช้ระบบออนไลน์ SAH Link Short Cut และจากการปรับปรุงกระบวนการใหม่ มีการประกาศใช้อย่างเป็นทางการ สามารถใช้ได้จริงกับทุกคำขอที่มีการยื่นขอตำแหน่งทางวิชาการระหว่างเดือนมกราคมถึงกุมภาพันธ์ 2566
Download
|
28 |
การวิเคราะห์ประสิทธิภาพการเบิกจ่ายงบประมาณของคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง ปีงบประมาณ พ.ศ. 2560-2564
ผู้แต่ง:
อุเทน หินอ่อน
ฉบับที่ 1 เดือน
มกราคม-เมษายน ปี 2566
Keyword:
งบประมาณ, การเบิกจ่ายงบประมาณ, คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์, มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง
หน้า: 96 - 103
(Download: 84 ครั้ง)
|
บทคัดย่อ
การวิเคราะห์ครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิภาพการเบิกจ่ายงบประมาณของคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง ระหว่างปีงบประมาณ พ.ศ. 2560-2564 ใน 3 มิติ คือ 1) มิติด้านแหล่งงบประมาณ 2) มิติด้านภารกิจหลัก และ 3) มิติด้านหน่วยงาน เก็บรวบรวมข้อมูลจากเอกสารแผนปฏิบัติราชการประจำปีและเอกสารรายงานผลการเบิกจ่ายงบประมาณประจำปี วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้เทคนิคการเปรียบเทียบและใช้สถิติเชิงพรรณนาในการนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล พบว่า ปีงบประมาณที่ระดับประสิทธิภาพการเบิกจ่ายงบประมาณมากที่สุด คือ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 มีประสิทธิภาพระดับสูง เบิกจ่ายร้อยละ 93.07 รองลงมา คือ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 มีประสิทธิภาพระดับปานกลาง เบิกจ่ายร้อยละ 89.63 ปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 มีประสิทธิภาพระดับปานกลาง เบิกจ่ายร้อยละ 86.20 ปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 มีประสิทธิภาพระดับต่ำ เบิกจ่ายร้อยละ 85.88 และ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 มีประสิทธิภาพระดับต่ำ เบิกจ่ายร้อยละ 85.17 ตามลำดับ เห็นได้ว่าประสิทธิภาพการเบิกจ่ายงบประมาณ 5 ปีย้อนหลัง ส่วนมากอยู่ในช่วงระดับต่ำถึงปานกลาง ดังนั้น จึงควรพิจารณาปรับมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการเบิกจ่ายงบประมาณให้สูงขึ้น
Download
|
29 |
การสร้างอินโฟกราฟิกส์ในงานบริการห้องสมุด คณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ผู้แต่ง:
จิณณพัต ชื่นชมน้อย
ฉบับที่ 1 เดือน
มกราคม-เมษายน ปี 2567
Keyword:
อินโฟกราฟิก, การบริการ, ความพึงพอใจ, ห้องสมุด
หน้า: 140 - 152
(Download: 82 ครั้ง)
|
บทคัดย่อ
การศึกษาครั้งนี้ เป็นการวิจัยและพัฒนา มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาองค์ประกอบและกำหนดหัวข้อเพื่อสร้างอินโฟกราฟิกส์สนับสนุนการบริการห้องสมุด และเพื่อประเมินความพึงพอใจของผู้ใช้บริการต่ออินโฟกราฟิกส์การให้บริการห้องสมุด คณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดยใช้แบบสอบถามปลายปิดและแบบประเมินความพึงพอใจเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล โดยการหาค่าดัชนีความสอดคล้อง ซึ่งมีค่า IOC มากกว่า 0.5 ทุกข้อ และผ่านการหาค่าความเที่ยงด้วยวิธี Cronbach’s Alpha Coefficient พบว่ามีความเชื่อมั่นภาพรวม เท่ากับ 0.95 กลุ่มตัวอย่างเป็นนิสิต คณะศิลปศาสตร์และวิทยศาสตร์ จำนวน 98 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัย พบว่า องค์ประกอบของอินโฟกราฟิกส์ ได้แก่ ข้อมูล กราฟิก การออกแบบเป็นภาพนิ่งดูแล้วเข้าใจง่าย เนื้อหาน่าสนใจ และมีสุนทรียภาพเชิงศิลปะทั้งรูปร่างรูปทรง การสร้างอินโฟกราฟิกส์หัวข้อในการจัดทำที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้บริการ ได้แก่ 1) บริการยืมออนไลน์ 2) การสืบค้นทรัพยากรสารสนเทศ 3) การยืมต่อหนังสือด้วยตนเอง 4) การจองหนังสือที่มีผู้ยืมออก 5) บริการห้องสมุดออนไลน์ Hibrary 6) การสืบค้นฐานข้อมูล TDC (ThaiLIS Digital Collection) การประเมินความพึงพอใจของกลุ่มตัวอย่างที่มีต่ออินโฟกราฟิกส์ พบว่า ผู้ใช้บริการมีความพึงพอใจ ด้านเนื้อหา อยู่ในระดับมาก (Mean = 4.30, S.D. = 0.65) ด้านการออกแบบ อยู่ในระดับมาก (Mean = 4.21, S.D. = 0.75) ด้านการใช้ประโยชน์ อยู่ในระดับมาก (Mean = 4.21, S.D. = 0.66) โดยภาพรวมทั้ง
3 ด้าน มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก (Mean = 4.24, S.D. = 0.68)
Download
|
30 |
การพัฒนาระบบการจัดการงานวารสารวิชาการ
ผู้แต่ง:
ธีติมา ไชยกิจ, ธนาคม เจริญพิทย์, มนตรี ศิริปรัชญานันท์
ฉบับที่ 1 เดือน
มกราคม-เมษายน ปี 2567
Keyword:
ระบบฐานข้อมูล, วารสารวิชาการ, ระบบการจัดการ
หน้า: 49 - 61
(Download: 82 ครั้ง)
|
บทคัดย่อ
การจัดทำวารสารวิชาการเป็นการเผยแพร่องค์ความรู้จากงานวิจัย เป็นสิ่งชี้วัดถึงผลงานทางวิชาการของมหาวิทยาลัย และมีระบบฐานข้อมูลที่ดีจะช่วยสนับสนุนการทำงานของเจ้าหน้าที่ที่ดูแลข้อมูล จากปัจจุบันพบว่า การจัดเก็บข้อมูลผู้เขียนบทความ ผู้ทรงคุณวุฒิตรวจสอบคุณภาพบทความ และบรรณาธิการประจำบทความ มีการจัดเก็บบนเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล ทำให้มีการเข้าถึงข้อมูลได้ยาก ผู้วิจัยจึงสนใจจัดทำระบบการจัดการงานวารสารวิชาการเพื่อนำข้อมูลต่าง ๆ ไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีวัตถุประสงค์ใน การวิจัย 1) เพื่อศึกษาแนวทางในการพัฒนาระบบการจัดการงานวารสารวิชาการ 2) เพื่อพัฒนาระบบการจัดการงานวารสารวิชาการและ 3) เพื่อการประเมินประสิทธิภาพของระบบที่พัฒนาขึ้น โดยศึกษาจากระบบการทำงานเดิม รวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ ออกแบบระบบฐานข้อมูล และพัฒนาระบบฐานข้อมูล โดยใช้ภาษา Yii Framework ช่วยในสร้างเว็บแอปพลิเคชันได้อย่างรวดเร็วและมีระบบแคชซึ่งช่วยให้การประมวลผลเร็วยิ่งขึ้น และการตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือมีค่าดัชนีความสอดคล้องอยู่ที่ 5.67 ดังนั้นข้อคำถามมีความสอดคล้องกับงานวิจัย โดยระบบดังกล่าวได้ตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้ระบบได้อย่างมีประสิทธิภาพ 4 ด้าน 1) ด้านระบบตรงต่อความต้องการผู้ใช้ 2) ด้านความถูกต้องของผลลัพธ์ที่ได้จากระบบ 3) ด้านการใช้งานของระบบมีความง่ายต่อการใช้งาน และ 4) ด้านการตรวจสอบข้อผิดพลาดของข้อมูล เมื่อดำเนินการพัฒนาระบบได้จัดทำการประเมินผลและทดสอบระบบ โดยกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ บรรณาธิการและผู้ที่ทำหน้าที่เป็นฝ่ายจัดการวารสารในกองบรรณาธิการจำนวน 10 วารสาร ในมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ผลประเมินพบว่า คะแนนเฉลี่ยความพึงพอใจในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุดมีคะแนนเฉลี่ยความพึงพอใจเท่ากับ 4.76 แสดงให้เห็นว่าระบบที่พัฒนาขึ้นสร้างความพึงพอใจต่อผู้ทดลองใช้ สามารถนำไปใช้ในการจัดการงานวารสารวิชาการได้
Download
|
31 |
การพัฒนาระบบการจองห้องออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ ของคณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
ผู้แต่ง:
สุชาดา แดงอินทวัฒิน์
ฉบับที่ 3 เดือน
กันยายน - ธันวาคม ปี 2566
Keyword:
การพัฒนาระบบการจองห้อง, ระบบการจองห้อง, จองห้องออนไลน์
หน้า: 31 - 44
(Download: 80 ครั้ง)
|
บทคัดย่อ
งานวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อวิเคราะห์ความต้องในการใช้งานระบบการจองห้องออนไลน์ 2) เพื่อพัฒนาระบบการจองห้องออนไลน์ 3) เพื่อประเมินระบบการจองห้องออนไลน์ ผ่านเว็บไซต์ของคณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง โดยเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ประกอบด้วย แบบประเมินคุณภาพระบบการจองห้องออนไลน์ แบบประเมินถามความต้องการในการใช้งานระบบการจองห้องออนไลน์ แบบประเมินความพึงพอใจในการใช้งานระบบการจองห้องออนไลน์ และระบบการจองห้องออนไลน์ แบบประเมินความพึงพอใจได้ผ่านการตรวจสอบจากผู้เชียวชาญ 3 คน ก่อนนำไปใช้เก็บข้อมูลและดำเนินการต่อไป กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้จำนวน 36 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัย พบว่า คุณภาพทางด้านเนื้อหาอยู่ในระดับดีมาก ค่าเฉลี่ยรวม ( = 4.64, S.D. = 0.39) คุณภาพทางด้านเทคนิคการผลิตสื่ออยู่ในระดับดี ค่าเฉลี่ยรวม ( = 4.42, S.D. = 0.34) และผลการวิเคราะห์ความต้องการและความพึงพอใจ ในการใช้งานระบบการจองห้องออนไลน์อยู่ในระดับมากที่สุด ค่าเฉลี่ยรวม ( = 4.51, S.D. = 0.40)
Download
|
32 |
ความเครียดของบุคลากรและแนวปฏิบัติในการบริหารงานในสภาวะวิกฤติ ของคณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล
ผู้แต่ง:
ศิริอรุณ แซ่โซว, จิราวรรณ พึ่งสาย, จิรภัทร์ คนเจน, ชุติมา ปฐมกำเนิด
ฉบับที่ 2 เดือน
พฤษภาคม-สิงหาคม ปี 2566
Keyword:
ความเครียด, การบริหารการเปลี่ยนแปลง, สภาวะวิกฤติ, โควิด-19, คณะเวชศาสตร์เขตร้อน
หน้า: 35 - 45
(Download: 79 ครั้ง)
|
บทคัดย่อ
สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล ต้องประสบกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว งานวิจัยฉบับนี้จัดทำขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับความเครียดของบุคลากรคณะเวชศาสตร์เขตร้อนจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และเพื่อศึกษาแนวปฏิบัติในการบริหารงานในสภาวะวิกฤติของคณะเวชศาสตร์เขตร้อน การศึกษาวิจัยดำเนินการวิจัยเชิงสำรวจด้วยการใช้แบบประเมินความเครียดของกรมสุขภาพจิต และศึกษาแนวปฏิบัติในการบริหารองค์การจากประกาศและกิจกรรมที่เกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 พ.ศ. 2563 - พ.ศ. 2565 ผลการศึกษาระดับความเครียด จำนวน 2 ครั้ง พบว่าบุคลากรส่วนใหญ่มีความเครียดในระดับน้อย ซึ่งความเครียดในระดับน้อยจะไม่คุกคามต่อการดำเนินชีวิต เมื่อจำแนกตามสังกัด พบว่าบุคลากรสังกัดโรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อนและบุคลากรสังกัดสำนักงาน มีความเครียดที่ระดับเครียดมากที่สุด ในช่วงคะแนน 10-15 ถือเป็นความเครียดระดับสูง ซึ่งอาจก่อให้เกิดความล้มเหลวในการปรับตัวหรือมีความบกพร่องในการดำเนินชีวิต จนอาจเป็นสาเหตุนำไปสู่ความรุนแรงถึงขั้นเป็นอันตรายต่อชีวิตได้ ผลการศึกษาแนวปฏิบัติในการบริหารงานในสภาวะวิกฤติของคณะเวชศาสตร์เขตร้อน พบว่าสามารถปรับการบริหารองค์การให้สอดคล้องต่อสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว ภายใต้การบริหารงานของผู้บริหารที่มีภาวะผู้นำตามรูปแบบ ViSTRA Model การวิจัยครั้งนี้สามารถนำข้อมูลไปเป็นแนวทางในการปฏิบัติงานของบุคลากรให้สามารถปฏิบัติงานได้ตามภารกิจขององค์การอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ รวมถึงเพื่อพัฒนาและปรับรูปแบบการทำงานให้เหมาะสมกับสถานการณ์ในช่วงสภาวะวิกฤติได้อย่างยั่งยืน
Download
|
33 |
การพัฒนาระบบการจองห้องเรียนและห้องประชุมออนไลน์ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม
ผู้แต่ง:
สุรีย์พร แก้วหล่อ, นัทธพงค์ ภู่คง
ฉบับที่ 2 เดือน
พฤษภาคม-สิงหาคม ปี 2566
Keyword:
ห้องเรียน, ห้องประชุม, ฐานข้อมูล, การจองห้อง
หน้า: 11 - 21
(Download: 79 ครั้ง)
|
บทคัดย่อ
การวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) การพัฒนาระบบการจองห้องเรียนและห้องประชุมออนไลน์ 2) ประเมินคุณภาพของระบบการจองห้องเรียนและห้องประชุมออนไลน์ และ 3) ศึกษาความพึงพอใจที่มีต่อระบบการจองห้องเรียนและห้องประชุมออนไลน์ของคณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม กลุ่มตัวอย่างได้แก่ ผู้เชี่ยวชาญจำนวน 5 คน และผู้ใช้บริการจำนวน 101 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) ระบบการจองห้องเรียนและห้องประชุมออนไลน์ 2) แบบประเมินคุณภาพของระบบ และ 3) แบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1) ได้ระบบการจองห้องแบบออนไลน์ที่ใช้ในหน่วยงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ 2) ผลการประเมินคุณภาพของระบบด้านหน้าที่ในภาพรวมอยู่ในระดับดี มีค่าเฉลี่ย 4.29 ด้านประสิทธิภาพการทำงานของระบบในภาพรวมอยู่ในระดับดี มีค่าเฉลี่ย 4.42 ด้านความสะดวกในการใช้งานของระบบในภาพรวมอยู่ในระดับดี มีค่าเฉลี่ย 4.33 3) ผลการศึกษาความพึงพอใจที่มีต่อระบบจากผู้ใช้งานด้านตรงตามความต้องการในภาพรวมอยู่ในระดับดี มีค่าเฉลี่ย 4.43 ด้านประสิทธิภาพ การทำงานของระบบในภาพรวมอยู่ในระดับดี มีค่าเฉลี่ย 4.48 และด้านความสะดวกในการใช้งานของระบบในภาพรวมอยู่ในระดับดี มีค่าเฉลี่ย 4.37
Download
|
34 |
การพัฒนาวิธีทดสอบหาปริมาณสารสเตอรอลจากพืชด้วยเทคนิคแก๊สโครมาโทกราฟี
ผู้แต่ง:
จรรยา แสงเขียว
ฉบับที่ 3 เดือน
กันยายน-ธันวาคม ปี 2563
Keyword:
สารสเตอรอลจากพืช , ปฏิกิริยาซาปอนนิฟิเคชันโดยตรง , การตรวจสอบความใช้ได้ของวิธี
หน้า: 42 - 50
(Download: 77 ครั้ง)
|
บทคัดย่อ
การพัฒนาวิธีทดสอบหาปริมาณสารสเตอรอลจากพืช ได้แก่ Brassicasterol, Campesterol, Stigmasterol และ β-Sitosterol ตัวอย่างถูกเตรียมด้วยการทำปฏิกิริยาซาปอนนิฟิเคชันโดยตรงโดยไม่ทำการสกัดน้ำมัน เพื่อลดเวลาในการทดสอบและลดการใช้ตัวทำละลายอินทรีย์ จากนั้นเตรียมสารสเตอรอลในรูปของสารอนุพันธ์ก่อนทดสอบด้วยเครื่องแก๊สโครมาโทกราฟี ร่วมกับตัวตรวจวัดชนิดเฟลมไอออไนเซชัน ด้วยคอลัมน์แบบชั้นฟิล์มเคลือบบนผิวด้านใน มีช่วงการทดสอบที่ระดับ 0.3-14.2 มิลลิกรัมต่อ100 กรัม จากการตรวจสอบความใช้ได้ของวิธี พบว่า ค่าขีดจำกัดในการตรวจวัด (LOD) ของ Brassicasterol, Campesterol, Stigmasterol และ β-Sitosterol เท่ากับ 0.5, 0.3, 0.6 และ 0.4 มิลลิกรัมต่อ100กรัม ตามลำดับ มีค่าการคืนกลับในช่วงร้อยละ 82-104 และความเที่ยงในการทดสอบซ้ำอยู่ในช่วง 1.30-1.55 ซึ่งอยู่ในช่วงที่ยอมรับ โดยวิธีทดสอบที่พัฒนาขึ้นนี้สามารถลดเวลาในการทดสอบเหลือเพียง 2 ชั่วโมงต่อ 1 ตัวอย่าง ลดการใช้ตัวทำละลายอินทรีย์ได้ 180 มิลลิลิตรต่อ 1 ตัวอย่าง เมื่อนำวิธีที่ได้นี้ไปประยุกต์ใช้ทดสอบหาปริมาณคอเลสเตอรอลในตัวอย่างเนื้อสัตว์และตัวอย่างวัสดุอ้างอิง พบว่า มีคอเลสเตอรอลอยู่ในช่วง 34.96-66.15 มิลลิกรัมต่อ100กรัม โดยมีค่าการคืนกลับเท่ากับร้อยละ 93.39 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าวิธีทดสอบที่พัฒนาขึ้นนี้มีความถูกต้อง และรวดเร็วขึ้น สามารถลดค่าใช้จ่ายและมีความคุ้มค่า เหมาะสมที่จะนำไปใช้ในห้องปฏิบัติการต่อไป
Download
|
35 |
ความพึงพอใจของนิสิตที่มีต่อการให้บริการงานทะเบียน กองบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน
ผู้แต่ง:
รุ้งนภา สุนทรศารทูล, พรรณพนัช จันหา, สมเกียรติ ไทยปรีชา
ฉบับที่ 1 เดือน
มกราคม-เมษายน ปี 2566
Keyword:
ความพึงพอใจ, การให้บริการ, งานทะเบียน, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน
หน้า: 205 - 213
(Download: 76 ครั้ง)
|
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความพึงพอใจของนิสิตที่มีต่อการให้บริการงานทะเบียนของกองบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน 2) เปรียบเทียบความพึงพอใจต่องานทะเบียนของนิสิตที่มีเพศ อายุ และคณะที่สังกัดแตกต่างกัน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นิสิตระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน จำนวน 389 คน โดยการสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิ และการสุ่มแบบอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.90 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานการทดสอบ 2 กลุ่มที่เป็นอิสระต่อกัน และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว ผลการวิจัยพบว่า 1) ความพึงพอใจของนิสิตที่มีต่อการให้บริการงานทะเบียนของกองบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน โดยรวมอยู่ในระดับมาก ( =3.61) เมื่อจำแนกเป็นรายด้านอยู่ในระดับมาก 5 ด้าน เรียงลำดับตามค่าเฉลี่ยจากมากไปน้อย ได้แก่ ด้านการให้บริการอย่างก้าวหน้า ( =3.68) รองลงมาด้านการให้บริการอย่างเพียงพอ ( =3.64) ด้านการให้บริการอย่างเท่าเทียม ( =3.62) ด้านการให้บริการอย่างรวดเร็วทันเวลา ( =3.59) และด้านการให้บริการอย่างต่อเนื่อง ( =3.55) 2) ผลการเปรียบเทียบความพึงพอใจของนิสิตที่มีต่อการให้บริการงานทะเบียนของกองบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน ที่มีเพศ อายุ และคณะที่สังกัด พบว่า นิสิตที่มีเพศ และอายุต่างกันมีความพึงพอใจต่องานทะเบียนของกองบริหารการศึกษาไม่แตกต่างกัน แต่นิสิตที่มีคณะที่สังกัดต่างกัน มีความพึงพอใจต่องานทะเบียนของกองบริหารการศึกษาแตกต่างกัน
Download
|
36 |
การพัฒนาห้องปฏิบัติการเคมี 1 ตามมาตรฐานการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยห้องปฏิบัติการวิจัยในประเทศไทย (ESPReL)
ผู้แต่ง:
กาญจุรีย์ ว่องไวรัตนกุล
ฉบับที่ 2 เดือน
พฤษภาคม-สิงหาคม ปี 2565
Keyword:
ห้องปฏิบัติการเคมี1 , ESPReL Peer Evaluation, ห้องปฏิบัติการปลอดภัย , ศูนย์เครื่องมือวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
หน้า: 110 - 123
(Download: 76 ครั้ง)
|
บทคัดย่อ
ศูนย์เครื่องมือวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ศคว.) มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ มีภารกิจหลักด้านการจัดการเรียนการสอนวิชาปฏิบัติการ โดยมีห้องปฏิบัติการในหน่วยงานมากกว่า 140 ห้อง ศคว. ตระหนักถึงความสำคัญเรื่องความปลอดภัยในห้องปฏิบัติการเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะห้องปฏิบัติการที่มีการใช้สารเคมี และจากนโยบายการจัดการความปลอดภัยตามมาตรฐานห้องปฏิบัติการวิจัยระดับสากลแห่งประเทศไทย ศคว.
ได้นำนโยบายส่งเสริมการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยห้องปฏิบัติการในระดับชาติ ซึ่งเริ่มนำระบบมาตรฐานความปลอดภัยห้องปฏิบัติการวิจัยในประเทศไทย (Enhancement of Safety Practice of Research Laboratory in Thailand: ESPReL) สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) มาใช้เมื่อปี พ.ศ.2562 โดยระยะแรกได้กำหนดห้องปฏิบัติการเคมี 1 เป็นห้องปฏิบัติการต้นแบบ เข้าสู่ระบบการประเมินเพื่อการยกระดับ
ความปลอดภัยห้องปฏิบัติการโดยมีการพัฒนาห้องปฏิบัติการเคมี 1 ตามโครงสร้างพื้นฐานของมาตรฐานการยกระดับความปลอดภัยห้องปฏิบัติการวิจัยในประเทศ ซึ่งมี 7 องค์ประกอบที่เชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบ ดังนี้ 1) การบริหารระบบการจัดการด้านความปลอดภัย 2) ระบบการจัดการสารเคมี 3) ระบบการจัดการของเสีย 4) ลักษณะทางกายภาพของห้องปฏิบัติการ อุปกรณ์และเครื่องมือ 5) ระบบการป้องกันและแก้ไขภัยอันตราย 6) การให้ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับด้านความปลอดภัยในห้องปฏิบัติการ และ 7) การจัดการข้อมูลและเอกสาร จากการพัฒนาระบบทำให้ห้องปฏิบัติการเคมี 1 ได้รับผลการตรวจประเมินและรับรองห้องปฏิบัติการในรูปแบบ Peer evaluation คะแนนเต็มร้อยละ 100 ใน 5 องค์ประกอบ ร้อยละ 98 ใน 1 องค์ประกอบ และ
ร้อยละ 97 อีก 1 องค์ประกอบ
Download
|
37 |
การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมของชุมชนในการพัฒนาคุณภาพชีวิต แบบพอเพียงของผู้สูงวัยไทยในภาคตะวันออก
ผู้แต่ง:
เวธกา กลิ่นวิชิต, พิสิษฐ์ พิริยาพรรณ
ฉบับที่ 1 เดือน
มกราคม-เมษายน ปี 2563
Keyword:
คุณภาพชีวิต, สุขภาพพอเพียง, วิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม, ผู้สูงอายุ
หน้า: 80 - 93
(Download: 76 ครั้ง)
|
บทคัดย่อ
วัตถุประสงค์การวิจัยครั้งนี้เพื่อประเมินคุณภาพชีวิตและศักยภาพการดูแลตนเองของผู้สูงอายุและศักยภาพการดูแลผู้สูงอายุของผู้ดูแลและศึกษาแนวทางพัฒนาคุณภาพชีวิตแบบพอเพียงบนพื้นฐานแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงและหลักการมีส่วนร่วมของชุมชน เป็นวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม 3 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนที่ 1 ประเมินสถานการณ์และสภาพปัญหา กลุ่มตัวอย่าง 2 กลุ่ม คือ ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป 334 คน ประชากร 645,353 คน และผู้ดูแล 334 คน ประชากร 4,098,487 คน ในพื้นที่ภาคตะวันออก เครื่องมือของกลุ่มผู้สูงอายุ ได้แก่ แบบวัดคุณภาพชีวิตและแบบประเมินศักยภาพการดูแลตนเองของผู้สูงอายุ กลุ่มผู้ดูแลใช้แบบประเมินศักยภาพการดูแล ประกอบด้วยแบบวัดการรับรู้ภาวะสุขภาพ แบบประเมินปัญหาสุขภาพผู้สูงอายุ และแบบประเมินความสามารถตนเองในการดูแลผู้สูงอายุ สถิติ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ขั้นตอนที่ 2 พัฒนารูปแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงวัย กลุ่มตัวอย่าง มีเกณฑ์คัดเลือก ได้ผู้สูงอายุและผู้ดูแล กลุ่มละ 50 คน ใช้วิธีสนทนากลุ่ม ขั้นตอนที่ 3 การประเมินผลโดยผู้ใช้รูปแบบ กลุ่มตัวอย่างเดียวกับขั้นตอนที่ 2 ผลการวิจัย พบว่า คุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ อยู่ในระดับดี ด้านร่างกาย จิตใจและสัมพันธภาพทางสังคมอยู่ในระดับปานกลาง ด้านสิ่งแวดล้อมอยู่ในระดับดี ศักยภาพการดูแลตนเองของผู้สูงอายุค่อนข้างเหมาะสม ผู้ดูแลรับรู้ภาวะสุขภาพผู้สูงอายุระดับปานกลาง ปัญหาสุขภาพผู้สูงอายุส่วนใหญ่เป็นโรคความดันโลหิตสูง เบาหวานและโรคข้อ ความสามารถในการดูแลผู้สูงอายุอยู่ในระดับปานกลาง รูปแบบพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ ใช้แผนภาพ “บ้าน” มีปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเปรียบเสมือนหน้าจั่วของบ้านยึดเหนี่ยวและนำทาง ตัวบ้าน คือ ความรู้ คู่คุณธรรม ผู้สูงอายุ คือ ผู้อยู่อาศัยในบ้าน ประกอบด้วย ร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ แวดล้อมด้วยสังคมและสิ่งแวดล้อม ผลประเมินการใช้รูปแบบ พบว่า ผู้สูงอายุและผู้ดูแล มีความพึงพอใจระดับมากที่สุด
Download
|
38 |
ปัจจัยที่ส่งผลต่อการสำเร็จการศึกษาล่าช้า ของนิสิตสาขาวิชาภาษาอังกฤษ ระดับปริญญาตรี คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา
ผู้แต่ง:
ไพลิน วงศ์ไชย
ฉบับที่ 1 เดือน
มกราคม-เมษายน ปี 2567
Keyword:
การสำเร็จการศึกษาล่าช้า, ปัจจัยที่ส่งผลต่อการสำเร็จการศึกษา, การสำเร็จการศึกษา
หน้า: 175 - 184
(Download: 75 ครั้ง)
|
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการสำเร็จการศึกษาล่าช้า ของนิสิตสาขาวิชาภาษาอังกฤษ ระดับปริญญาตรี คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา โดยใช้วิธีการวิจัยเชิงปริมาณ ซึ่งผู้วิจัยได้กำหนดประชากรเป้าหมาย คือ นิสิตระดับปริญญาตรี สาขาวิชาภาษาอังกฤษ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา ที่คาดว่าจะสำเร็จการศึกษาโดยมีสถานะกำลังศึกษาในระหว่างปีการศึกษา 2565 จำนวน 149 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาผลงานวิจัย คือ แบบสอบถาม ซึ่งมีค่าความเชื่อมั่น (α) เท่ากับ 0.862 สถิติที่ใช้ใน การวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) นำเสนอ วิธีการศึกษา (Methodology) ที่ใช้ในการวิจัยแบบเชิงบรรยาย/เชิงพรรณนา (Descriptive) ผลการศึกษาพบว่า ปัจจัยที่ส่งผลต่อการสำเร็จการศึกษาล่าช้า ของนิสิตสาขาวิชาภาษาอังกฤษ ระดับปริญญาตรี คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา โดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง (Mean = 3.47) เมื่อพิจารณารายปัจจัย พบว่า ปัจจัยด้านอื่น ๆ (Mean = 3.59) มีผลต่อการสำเร็จการศึกษาล่าช้ามากที่สุด รองลงมา คือ ปัจจัยด้านความรู้ความเข้าใจในปฏิทินการศึกษา/ระเบียบ/ข้อบังคับ/แนวปฏิบัติ/คู่มือนิสิต/การใช้งานระบบลงทะเบียน ของกองบริการการศึกษา (Mean = 3.47) ปัจจัยด้านคุณลักษณะส่วนตัวของนิสิต (Mean = 3.43) ปัจจัยที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด คือ ปัจจัยด้านผู้สอน/อาจารย์ที่ปรึกษา (Mean = 3.40)
Download
|
39 |
การทดสอบยอมรับระบบสารสนเทศโดยผู้ใช้งานออนไลน์ ในภาวะการระบาดของโรคโควิด 19
ผู้แต่ง:
วิภาวี รื่นจิตต์, รัตนา ปัดถา
ฉบับที่ 1 เดือน
มกราคม-เมษายน ปี 2567
Keyword:
การทดสอบยอมรับระบบโดยผู้ใช้งาน, ยูเอที, โปรแกรมซูม, ระบบสารสนเทศ, โรคโควิด 19
หน้า: 16 - 26
(Download: 74 ครั้ง)
|
บทคัดย่อ
ในภาวะการระบาดของโรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 การเว้นระยะห่างทางสังคม เป็นมาตรการสำคัญที่นำมาใช้เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโรค ลดจำนวนผู้ติดเชื้อของประเทศ และเพื่อเป็นการตอบสนองต่อมาตรการดังกล่าว ทั้งภาครัฐและเอกชนได้ออกนโยบายให้เจ้าหน้าที่ทำงานที่บ้าน (Work From Home) ด้วยเหตุนี้การดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ย่อมได้รับผลกระทบ ต้องมีการปรับเปลี่ยนวิธีการทำงาน ตลอดจนค้นคิดหาเครื่องมือช่วยเหลือการทำงาน เพื่อให้สามารถปฏิบัติงานได้ตามปกติโดยไม่มีผลกระทบต่อการดำเนินงานการทดสอบยอมรับระบบโดยผู้ใช้งานเป็นกระบวนการที่ใช้ในการทดสอบก่อนการขึ้นใช้งานของระบบที่ถูกพัฒนาขึ้นโดยองค์กร โดยผู้ใช้งานหรือเจ้าของระบบ(Product Owner) เข้ามาตรวจสอบเพื่อยืนยัน ความถูกต้องและกระบวนการทำงานของระบบที่พัฒนาขึ้น ว่าเป็นไปตามความต้องการและสามารถรองรับกระบวนการทางธุรกิจของตนเองได้ก่อนนำระบบขึ้นใช้งานจริง ซึ่งมีความจำเป็นต้องอาศัยบุคคลหลายกลุ่มเข้าร่วมทดสอบและวางแผนการดำเนินการ ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยของผู้ปฏิบัติงานในช่วงภาวะวิกฤตการระบาดของโรคโควิด 19 ฝ่ายสารสนเทศ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล จึงได้ศึกษาแนวทางการนำโปรแกรมเพื่อการจัดการประชุมและกิจกรรมออนไลน์ เช่น ZOOM cloud meeting, Cisco WebEx, Google hangouts meet, Skype, Microsoft Teams, Line, Bluejeans เป็นต้น เข้ามาประยุกต์ใช้สำหรับจัดกิจกรรมการทดสอบยอมรับระบบสารสนเทศโดยผู้ใช้งานออนไลน์ เพื่อให้ได้ขั้นตอนการทำงานที่มีประสิทธิภาพ สามารถนำมาปรับปรุงและทดแทนกระบวนการทำงานรูปแบบเดิมได้
Download
|
40 |
การปรับปรุงกระบวนการบริหารจัดการข้อมูลเพื่อการประกันคุณภาพการศึกษา ด้วยแนวคิด ECRS คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
ผู้แต่ง:
บรรณกร แซ่ลิ่ม
ฉบับที่ 2 เดือน
พฤษภาคม-สิงหาคม ปี 2565
Keyword:
ปรับปรุงกระบวนการ, การประกันคุณภาพ, แผนผังกระบวนการไหล, แผนผังก้างปลา, หลักการลดความสูญเปล่า
หน้า: 193 - 204
(Download: 74 ครั้ง)
|
บทคัดย่อ
การศึกษาในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์สภาพและปัญหาอุปสรรค วิเคราะห์แนวทางปรับปรุง และนำเสนอผลการเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการบริหารจัดการข้อมูลในการประกันคุณภาพการศึกษา คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ด้วยการรวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์แผนภูมิกระบวนการไหล แผนภาพการไหล กิจกรรมที่มีคุณค่า และกิจกรรมที่ไม่มีคุณค่า รวมถึงกิจกรรมที่จำเป็นต้องปฏิบัติและไม่จำเป็นต้องปฏิบัติ เพื่อวิเคราะห์สาเหตุของปัญหาด้วยหลักการหาความสูญเปล่า ร่วมกับแผนผังก้างปลา เพื่อเสนอแนวทางการแก้ปัญหาและปรับปรุงวิธีการทำงานด้วยหลักการ ECRS ผลการวิเคราะห์กระบวนการบริหารจัดการข้อมูลเพื่อการประกันคุณภาพการศึกษา คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ พบว่า สามารถลดกระบวนการลงจากเดิมต่องาน 39 กิจกรรม เหลือ 22 กิจกรรม ลดลง 17 กิจกรรม คิดเป็นร้อยละ 43.59 ลดระยะเวลาในการทำงานจากเดิมต่องาน 10,055 นาที เหลือ 8,220 นาที ลดลง 1,835 นาที คิดเป็นร้อยละ 18.25 ลดทรัพยากรการใช้กระดาษจากเดิมต่องาน 17 แผ่น เหลือมาใช้ 2 แผ่น ลดลง 15 แผ่น คิดเป็นร้อยละ 88.24 และลดค่าใช้จ่ายการใช้กระดาษจากเดิมต่องาน 7.99 บาท เหลือ 0.94 บาท ลดลง 7.05 บาท คิดเป็นร้อยละ 88.24 ผลจากการศึกษาในครั้งนี้สามารถนำไปใช้ในการพัฒนาระบบสารสนเทศให้รองรับการใช้งาน บูรณาการตัวชี้วัดในทุกระดับและปรับปรุงฐานข้อมูลให้เป็นปัจจุบัน เพื่อให้ข้อมูลมีความถูกต้องครบถ้วน จัดทำคำอธิบาย คู่มือ หรือพจนานุกรมตัวชี้วัด เพื่อเป็นแนวทางในการรายงานข้อมูล และใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์รับส่งเอกสาร เพื่อลดระยะเวลาการรอคอย
Download
|
41 |
ความประทับใจของนักศึกษาระดับปริญญาตรีที่มีต่อการให้บริการการศึกษาของมหาวิทยาลัยคริสเตียน
ผู้แต่ง:
สุภัสสรา วิภากูล, สุขุม ปิ่นวิถี, ชนาธิิป ทิพยานนท์
ฉบับที่ 3 เดือน
กันยายน-ธันวาคม ปี 2563
Keyword:
ความประทับใจ , การให้บริการ, นักศึกษาระดับปริญญาตรี
หน้า: 72 - 82
(Download: 73 ครั้ง)
|
บทคัดย่อ
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับความประทับใจของนักศึกษาระดับปริญญาตรีที่มีต่อการให้บริการการศึกษา 2) เพื่อเปรียบเทียบความประทับใจของนักศึกษาระดับปริญญาตรีที่มีต่อการให้บริการการศึกษาจำแนกตามเพศ และคณะวิชา และ 3) เพื่อศึกษาแนวทางการปรับปรุงการให้บริการศึกษาของมหาวิทยาลัยคริสเตียน กลุ่มตัวอย่าง คือ นักศึกษาระดับปริญญาตรี จำนวน 278 คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยสูตรของทาโร่ ยามาเน่ ตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือวิจัยมีค่าดัชนีความสอดคล้อง เท่ากับ 1 และค่าสัมประสิทธิ์แอลฟา เท่ากับ 0.87 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติทดสอบที สถิติทดสอบเอฟ จากการวิจัยพบว่า 1) นักศึกษาระดับปริญญาตรีมีความประทับใจต่อการให้บริการการศึกษา ภาพรวมอยู่ในระดับมาก ( = 4.12, S.D.= 0.81) การให้บริการที่มีค่าระดับคะแนนเฉลี่ยมากที่สุด คือ ด้านภูมิทัศน์และสิ่งแวดล้อม ( = 4.17, S.D.= 0.83) รองลงมา คือ ด้านพนักงานผู้ให้บริการ ( = 4.12, S.D.= 0.76) ด้านการบริการและพัฒนานักศึกษา ( = 4.11, S.D.= 0.82) ด้านปัจจัยเกื้อหนุนและสิ่งอำนวยความสะดวก ( = 4.10, S.D.= 0.86) และด้านบริการเทคโนโลยีดิจิทัล ( = 4.09, S.D.= 0.86) 2) นักศึกษาที่มีเพศต่างกันมีความประทับใจต่อการให้บริการการศึกษาของมหาวิทยาลัย
คริสเตียนไม่แตกต่างกันที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05 และนักศึกษาที่สังกัดคณะวิชาต่างกันมีความประทับใจต่อการให้บริการการศึกษาของมหาวิทยาลัยคริสเตียนแตกต่างกันที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05และ 3) ผู้วิจัยได้เสนอแนวทางการปรับปรุงการให้บริการการศึกษา โดยควรมีการจัดทำแผนพัฒนาการดำเนินงานที่ตอบสนองกับความต้องการของนักศึกษาและการรักษามาตรฐานการให้บริการที่มีคุณภาพอย่างต่อเนื่อง
Download
|
42 |
ความพึงพอใจการใช้ระบบการเรียนการสอนแบบออนไลน์ ด้วยโปรแกรม Webex/Zoom ของภาควิชาวิศวกรรมชีวการแพทย์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
ผู้แต่ง:
ณฤชา วิมลลักษณ์, รชะ ไทยประกอบ
ฉบับที่ 1 เดือน
มกราคม-เมษายน ปี 2567
Keyword:
การเรียนแบบออนไลน์, ความพึงพอใจ, โปรแกรม Webex, โปรแกรม Zoom
หน้า: 106 - 115
(Download: 72 ครั้ง)
|
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนการสอนออนไลน์ โดยใช้ Webex/Zoom และ 2) ความพึงพอใจของนักศึกษา อาจารย์ และ เจ้าหน้าที่รวมทั้งหมดจำนวน 42 คน ที่มีต่อการเรียนการสอนออนไลน์ ในการศึกษานี้จึงถูกจัดทำขึ้นเพื่อประเมินความพึงพอใจในการใช้งานและเปรียบเทียบความพึงพอใจหลังการใช้งานโปรแกรม สอนออนไลน์ การศึกษาครั้งนี้จะเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างของนักศึกษา อาจารย์ และ เจ้าหน้าที่ประจำภาควิชาวิศวกรรมชีวการแพทย์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ในช่วงปี พ.ศ. 2565 โดยการตอบแบบสอบถามออนไลน์ ซึ่งคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แบบประเมินความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อโปรแกรมการเรียนการสอนออนไลน์ 2) แบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการใช้งานโปรแกรม ผลการศึกษาพบว่าแต่ละกลุ่มวิจัยมีความพึงพอใจในการใช้งานและผลการเปรียบเทียบความพึงพอใจระหว่างโปรแกรม Webex/Zoom มีความแตกต่างกัน ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือการวิจัย สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยและค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่า t – test จากการศึกษานี้สรุปได้ว่า การใช้ระบบการเรียนการสอนออนไลน์นั้น มีส่วนสำคัญเป็นอย่างมากในปัจจุบันสามารถเสริมศักยภาพการศึกษาให้แก่ นักศึกษา อาจารย์ และ เจ้าหน้าที่หลายด้าน เพื่อให้การใช้งานมีประสิทธิภาพมากขึ้น
Download
|
43 |
ประสิทธิภาพของคู่มือการจัดเก็บข้อมูลตามองค์ประกอบของการประกันคุณภาพ ตามเกณฑ์ AUN - QA คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
ผู้แต่ง:
ปนิดา ดำรงสุสกุล, มัฮดี แวดราแม
ฉบับที่ 1 เดือน
มกราคม-เมษายน ปี 2567
Keyword:
การจัดเก็บข้อมูล, เกณฑ์ AUN–QA, เครือข่ายการประกันคุณภาพมหาวิทยาลัยอาเซียน
หน้า: 205 - 214
(Download: 72 ครั้ง)
|
บทคัดย่อ
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของคู่มือการจัดเก็บข้อมูลตามองค์ประกอบของการประกันคุณภาพตามเกณฑ์ AUN–QA กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยคืออาจารย์ที่สังกัดคณะศึกษาศาสตร์ จำนวน 29 คน บุคลากรที่เกี่ยวข้องกับการจัดทำรายงานประจำปี จำนวน 25 คน ที่สังกัดในหลักสูตรที่เปิดทำการเรียนการสอนของคณะศึกษาศาสตร์ และจัดทำรายงานประจำปีในปีในปีการศึกษา 2565 เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสอบถามเกี่ยวกับประสิทธิภาพของคู่มือการจัดเก็บข้อมูลตามองค์ประกอบของการประกันคุณภาพตามเกณฑ์ AUN–QA ค่าความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามกับวัตถุประสงค์ ทุกข้อมีค่ามากกว่า 0.50 ค่าความเที่ยงของแบบสอบถามด้วยสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค ได้เท่ากับ 0.975 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ค่าเฉลี่ย ความถี่ ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติทดสอบที และการวิเคราะห์ความความแปรปรวน ผลการวิจัยพบว่า มีผู้ตอบแบบสอบถาม จำนวน 54 คน คู่มือมีประสิทธิภาพในระดับมากที่สุดทุกด้าน ได้แก่ ด้านรูปเล่มของคู่มือ (M = 4.56 , S.D. = 0.56) ด้านเนื้อหาของคู่มือ (M = 4.56 , S.D. = 0.55) และด้านการนำไปใช้ประโยชน์ (M = 4.57 , S.D. = 0.55) การเปรียบเทียบปัจจัยด้านเพศด้วยสถิติทดสอบที พบว่า เพศชายและเพศหญิงมีความคิดเห็นต่อประสิทธิภาพของคู่มือการจัดเก็บข้อมูลตามองค์ประกอบของการประกันคุณภาพตามเกณฑ์ AUN–QA ไม่แตกต่างกัน การเปรียบเทียบปัจจัยด้านอายุ วุฒิการศึกษา และประสบการณ์เกี่ยวกับการจัดทำรายงานระดับหลักสูตรตามเกณฑ์ AUN-QA ที่มีต่อการประเมินประสิทธิภาพของคู่มือการจัดเก็บข้อมูลตามองค์ประกอบของการประกันคุณภาพตามเกณฑ์ AUN–QA ด้วยการวิเคราะห์ความความแปรปรวน พบว่า ไม่แตกต่างกัน
Download
|
44 |
การพัฒนาระบบจองอุปกรณ์วิทยาศาสตร์ คณะอุตสาหกรรมอาหาร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
ผู้แต่ง:
ไพรัตน์ ปัญญานิรันดร์
ฉบับที่ 3 เดือน
กันยายน - ธันวาคม ปี 2566
Keyword:
ปฏิทินตารางเวลา, จองออนไลน์, การพัฒนาระบบ
หน้า: 172 - 181
(Download: 69 ครั้ง)
|
บทคัดย่อ
การวิจัยฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อออกแบบและพัฒนาระบบจองอุปกรณ์วิทยาศาสตร์ ในรูปแบบ การจองออนไลน์ และประเมินความพึงพอใจต่อประสิทธิภาพของระบบ กรณีศึกษา:คณะอุตสาหกรรมอาหาร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง โดยใช้เทคโนโลยีเว็บแอพพลิเคชันให้ง่ายต่อการเข้าถึง และสามารถรองรับการแสดงผลบนเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์การสื่อสารชนิดต่าง ๆ ด้วย Responsive Design สำหรับการพัฒนาระบบ ด้วยการใช้โปรแกรม XAMPP 3.2.4 ซึ่งประกอบไปด้วย MySQL 8.0, PHPMyAdmin 5.0.4 และ Apache 2.4.46 แล้วนำมาแสดงผลด้วย FullCalendar สำหรับแสดงปฏิทินตารางเวลาที่ชัดเจน รวมถึงแบ่งกลุ่มผู้ใช้งานได้ชัดเจน จากการพัฒนาระบบการจองอุปกรณ์และเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ในรูปแบบออนไลน์สามารถแบ่งกลุ่มผู้ใช้งานเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ 1) นักศึกษา 2) นักวิทยาศาสตร์ และ 3) ผู้ดูแลระบบ จากการพัฒนาระบบดังกล่าวพบว่า นักศึกษาสามารถเข้าจองอุปกรณ์และสามารถระบุวันเวลาในการจองอุปกรณ์และเครื่องมือวิทยาศาสตร์ได้ผ่านทางอินเทอร์เน็ต พร้อมทั้งติดตามสถานการณ์ การอนุมัติใช้งานได้ นอกจากนี้กลุ่มนักวิทยาศาสตร์สามารถมองเห็นคำร้องการขอใช้อุปกรณ์จากนักศึกษา ที่แสดงผลเฉพาะอุปกรณ์ที่ตนเองดูแล ส่งผลทำให้ง่ายต่อการคัดแยกการอนุมัติการจองอุปกรณ์ใช้งาน ของนักศึกษา ส่วนผู้ดูแลระบบสามารถดูรายงานการใช้อุปกรณ์ การอนุมัติจากผู้ดูแลอุปกรณ์ สามารถเพิ่มหรือปรับเปลี่ยนนักวิทยาศาสตร์ในระบบได้ ทั้งนี้ระบบที่พัฒนาขึ้นนี้ ได้รับการประเมินประสิทธิภาพโดยผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาระบบสารสนเทศ โดยการประเมินจากผู้เชี่ยวชาญอยู่ในเกณฑ์ดีมาก มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 4.57 คะแนน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 0.45 และประเมินความพึงพอใจจากกลุ่มผู้ใช้งาน อยู่ในระดับดี มีค่าเฉลี่ย ความพึงพอใจที่ 4.11 คะแนน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 0.69 โดยจากการใช้งาน ณ ปัจจุบัน มีประวัติการดำเนินจองอุปกรณ์ในระบบ จำนวนทั้งสิ้น 19,013 รายการ ในระยะเวลา 2 ปี ที่ได้ทดสอบการใช้งาน สามารถลดจำนวนเอกสารที่ใช้ในการจองอุปกรณ์วิทยาศาสตร์แต่ละชนิดประมาณ 800 แผ่นต่อปี รวมทั้งยังสามารถลดระยะเวลาทำงาน การสืบค้น เข้าถึงข้อมูล และดำเนินการจองอุปกรณ์ได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้น ระบบนี้สามารถประยุกต์ใช้กับโปรแกรมการจองอื่น ๆ ได้ในอนาคต
Download
|
45 |
การวิเคราะห์งบประมาณ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
ผู้แต่ง:
วรรณวิมล วงศ์ถาวร
ฉบับที่ 3 เดือน
กันยายน - ธันวาคม ปี 2564
Keyword:
วิเคราะห์งบประมาณ, บริหารงบประมาณ, งบประมาณเงินรายได้
หน้า: 83 - 91
(Download: 69 ครั้ง)
|
บทคัดย่อ
การวิจัยในครั้งนี้เพื่อวิเคราะห์งบประมาณ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ปีงบประมาณ 2559–2563 โดยรวบรวมข้อมูลจากแผนงบประมาณเงินรายได้ รายงานงบการเงิน และเอกสารที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำมาบันทึกในแบบตารางฐานข้อมูลวิเคราะห์โดยใช้โปรแกรม Microsoft Excel ด้วยสถิติเชิงพรรณนา คือ การหาค่าเฉลี่ยและค่าร้อยละ และเปรียบเทียบงบประมาณคณะศิลปศาสตร์ ปีงบประมาณ 2559–2563 ซึ่งจำแนกตามงบรายจ่าย และจำแนกตามภารกิจ ด้วยเทคนิคการเปรียบเทียบข้อมูล และวิเคราะห์แนวโน้มรายรับ–รายจ่ายจริงของงบประมาณเงินรายได้ ปีงบประมาณ 2564–2566 ใช้เทคนิคการพยากรณ์เชิงปริมาณ ด้วยชุดคำสั่ง Forecast เพื่อคาดการณ์ความสามารถทางการเงินในอนาคตแล้วนำเสนอผลเป็นตารางตามวัตถุประสงค์การวิจัย ผลการวิจัยพบว่า สัดส่วนงบประมาณ คณะศิลปศาสตร์เฉลี่ย 5 ปีจากงบประมาณแผ่นดินและงบประมาณเงินรายได้ มีสัดส่วนเท่ากับ 27.92 : 72.08 ซึ่งพบว่าอัตราส่วนร้อยละของงบประมาณแผ่นดินลดลงทุกปีหรืออีกนัยหนึ่งอัตราส่วนร้อยละของงบประมาณเงินรายได้เพิ่มขึ้นทุกปี โดยปีงบประมาณ 2563 มีสัดส่วนเท่ากับ 8.48 : 91.52 เมื่อคาดการณ์รายรับ–รายจ่ายจริง พบว่า ในระหว่างปีงบประมาณ 2564-2566 มีแนวโน้มรายรับจริงลดลง ในขณะที่รายจ่ายจริงมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นโดยค่าเฉลี่ยสูงสุดในการจัดสรรงบประมาณเงินรายได้ตามงบรายจ่าย คือ งบอุดหนุน และจัดสรรตามภารกิจสูงสุด คือด้านการจัดการเรียนการสอน ในขณะที่ค่าคาดการณ์แนวโน้มรายรับ ปีงบประมาณ 2564–2566 มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง จากผลการวิจัยผู้บริหารควรกำหนดกรอบวงเงินเพื่อการจัดสรรงบประมาณเงินรายได้ ในสัดส่วนที่สอดคล้องกับแนวโน้มรายรับจริง ผลักดันให้ใช้จ่ายงบประมาณจากแหล่งอื่น ๆ และแสวงหารายได้เพิ่มขึ้น รวมถึงลดรายจ่ายงบดำเนินงานเพื่อรองรับการขยายตัวของงบบุคลากร และงบลงทุน ตลอดจนคำนึงถึง การขับเคลื่อนกลยุทธ์และแผนงานสำคัญของคณะศิลปศาสตร์
Download
|
46 |
การศึกษาสมรรถนะหลักและสมรรถนะการปฏิบัติงานตามตำแหน่งของบุคลากรสายสนับสนุน สังกัดส่วนงานวิชาการ มหาวิทยาลัยทักษิณ ตามทัศนะของหัวหน้าสำนักงานคณะ
ผู้แต่ง:
ธรรญชนก ขนอม
ฉบับที่ 1 เดือน
มกราคม-เมษายน ปี 2566
Keyword:
สมรรถนะหลัก, สมรรถนะตามตำแหน่ง, สมรรถนะการปฏิบัติงานบุคลากรสายสนับสนุน
หน้า: 62 - 75
(Download: 68 ครั้ง)
|
บทคัดย่อ
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสมรรถนะหลักและสมรรถนะการปฏิบัติงานตามตำแหน่งของบุคลากรสายสนับสนุน สังกัดส่วนงานวิชาการ ในมหาวิทยาลัยทักษิณ ตามทัศนะของหัวหน้าสำนักงานคณะฯ ที่ปฏิบัติงานในสายงานบริหารงานทั่วไป สายงานการเงิน สายงานพัสดุ และสายงานวิชาการศึกษา เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพโดยใช้เทคนิคเดลฟาย ผู้วิจัยดำเนินการรวบรวมความคิดเห็นจากกลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิ ดำเนินการวิจัย 3 รอบ เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา ประกอบด้วย รอบที่ 1 เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถามปลายเปิดและนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์โดยละเอียด สังเคราะห์เป็นประเด็น ตัดข้อมูลที่ซ้ำซ้อนออก รอบที่ 2 สร้างแบบสอบถามชนิดมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ เพื่อให้ผู้ทรงคุณวุฒิให้น้ำหนักความสำคัญของแต่ละข้อ รอบที่ 3 นำคำตอบจากการวิเคราะห์รอบที่ 2 มาคำนวณค่ามัธยฐาน ค่าพิสัยระหว่างควอไทล์ และคัดเลือกเฉพาะสมรรถนะหลักและสมรรถนะตามตำแหน่งที่มีค่ามัธยฐานตั้งแต่ 3.5 ขึ้นไป และค่าพิสัยระหว่างควอไทล์ไม่เกิน 1.50 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่ามัธยฐาน และค่าพิสัยระหว่างควอไทล์ ผลการวิจัยพบว่า สมรรถนะหลัก ประกอบด้วย 9 สมรรถนะ สมรรถนะการปฏิบัติงานตามตำแหน่งสายงานบริหารงานทั่วไป ด้านความรู้ 4 สมรรถนะ ด้านทักษะ 7 สมรรถนะ ด้านบุคลิกลักษณะ 6 สมรรถนะ สายงานการเงิน ด้านความรู้ 4 สมรรถนะ ด้านทักษะ 8 สมรรถนะ ด้านบุคลิกลักษณะ 5 สมรรถนะ สายงานพัสดุ ด้านความรู้ 5 สมรรถนะ ด้านทักษะ 8 สมรรถนะ ด้านบุคลิกลักษณะ 5 สมรรถนะ สายงานวิชาการศึกษา ด้านความรู้ 5 สมรรถนะ ด้านทักษะ 8 สมรรถนะ ด้านบุคลิกลักษณะ 6 สมรรถนะ
Download
|
47 |
ความพึงพอใจต่อการใช้งานในระบบเบิกจ่ายเงินของโปรแกรม PSU Management Accounting System (PSU-MAS) ของบุคลากรกองคลัง มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
ผู้แต่ง:
วิภาภรณ์ นวลเลิศ
ฉบับที่ 3 เดือน
กันยายน - ธันวาคม ปี 2564
Keyword:
ความพึงพอใจ , การใช้ระบบสารสนเทศ, ระบบเบิกจ่ายเงิน
หน้า: 195 - 203
(Download: 68 ครั้ง)
|
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินความพึงพอใจของผู้ใช้งานต่อระบบสารสนเทศด้านการเบิกจ่ายเงิน โดยใช้แบบสอบถามความพึงพอใจในการใช้งานโปรแกรม PSU Management Accounting System (PSU-MAS) เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการศึกษากลุ่มตัวอย่างเป็นบุคลากรของกองคลัง สำนักงานอธิการบดี มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ จำนวน 52 คน ซึ่งแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ หัวหน้างานและเจ้าหน้าที่ผู้ปฎิบัติ
โดยแบบสอบถามจำแนกเป็น 2 ด้าน 1) ด้านการใช้งานระบบ 2) ด้านประสิทธิภาพการทำงานระบบ ผลการวิจัยพบว่า 1) หัวหน้างานมีความพึงพอใจในการใช้งานระบบอยู่ในระดับปานกลาง ( =3.35, S.D.=0.59) และด้านประสิทธิภาพการทำงานระบบมีความพึงพอใจในระดับปานกลาง ( =3.35, S.D.=0.70) 2) เจ้าหน้าที่ผู้ปฎิบัติมีความพึงพอใจในการใช้งานระบบอยู่ในระดับมาก ( =3.73, S.D.=0.84) และด้านประสิทธิภาพการทำงานระบบมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก ( =3.81, S.D.=0.88) โดยมีข้อเสนอแนะจากงานวิจัยคือ การพัฒนาโปรแกรมต้องดำเนินการให้สามารถใช้งานด้านการเบิกจ่ายเงินได้ทุกประเภทเอกสารการเบิกจ่าย และสามารถใช้งานโปรแกรมให้ทำงานได้โดยไม่ติดขัด มีการปรับปรุงและพัฒนาระบบอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเบิกจ่ายเงิน
Download
|
48 |
ความต้องการ แรงจูงใจ อุปสรรค และการส่งเสริมสนับสนุนการพัฒนางานประจำสู่งานวิจัย (R2R): กรณีศึกษาสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล
ผู้แต่ง:
ภาสกร บุญคุ้ม, พลอยชมพู สุคัสถิตย์
ฉบับที่ 2 เดือน
พฤษภาคม-สิงหาคม ปี 2566
Keyword:
ความต้องการ, แรงจูงใจ, อุปสรรค, งานประจำสู่งานวิจัย, บุคลากรสายสนับสนุน
หน้า: 67 - 80
(Download: 67 ครั้ง)
|
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ความต้องการ แรงจูงใจ อุปสรรคในการพัฒนางานประจำสู่งานวิจัยของบุคลากรสายสนับสนุน สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล 2) การส่งเสริมสนับสนุนการพัฒนางานประจำสู่งานวิจัย (R2R) ของสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสมผสานระหว่างการวิจัยเชิงปริมาณและการวิจัยเชิงคุณภาพ มีกลุ่มประชากรที่ศึกษาเป็นผู้บริหาร จำนวน 2 คน และบุคลากรสายสนับสนุน จำนวน 36 คน โดยเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ คือ แบบสอบถามออนไลน์โดยมีลักษณะเป็นคำถามปลายปิด และแบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าความถี่ และร้อยละ ส่วนข้อมูลเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) บุคลากรส่วนใหญ่มีความต้องการที่จะทำ R2R (ร้อยละ 65.4) และไม่มีความต้องการทำ R2R (ร้อยละ 34.6) โดยเหตุผลของผู้ที่มีความต้องการทำ R2R ส่วนใหญ่ คือ พบปัญหาในงานจึงต้องการหาวิธีการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น (ร้อยละ 43.5) ส่วนเหตุผลของ ผู้ที่ไม่ต้องการทำ R2R ส่วนใหญ่ คือ มีภาระงานประจำมากเกินไปจึงไม่มีเวลาทำ (ร้อยละ 29.2) 2) แรงจูงใจ และอุปสรรคในการพัฒนางาน R2R คือ 2.1) แรงจูงใจในการพัฒนางาน R2R ได้แก่ ต้องการแก้ไขปัญหาใน การทำงาน พัฒนาศักยภาพตนเอง สร้างคุณค่าและความภูมิใจในการทำงาน การมีรายได้เพิ่ม และเนื่องจาก การได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานเป็นอย่างดี 2.2) อุปสรรคในการพัฒนางาน R2R ได้แก่ การขาดความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับงาน R2R โดยบุคลากรส่วนใหญ่เข้าใจว่าต้องเขียนเชิงวิชาการและมีความยุ่งยากซับซ้อน การขาดประสบการณ์และทักษะในการเขียน และการมีภาระงานประจำและภาระครอบครัวมาก จึงไม่สามารถจัดเวลาได้ 3) การส่งเสริมสนับสนุนการพัฒนางานประจำสู่งานวิจัย (R2R) ของสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล มี 4 รูปแบบคือ 3.1) การส่งเสริมและสร้างแรงจูงใจในการพัฒนางาน R2R 3.2) การพัฒนาทักษะการเขียน 3.3) การกระตุ้นและติดตามอย่างต่อเนื่อง และ 3.4) การให้ความช่วยเหลือและคำปรึกษา
Download
|
49 |
แนวทางการสร้างความร่วมมือด้านการวิจัยระหว่างคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กับมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก
ผู้แต่ง:
พิเชษฐ์ เทพสุวรรณ์
ฉบับที่ 2 เดือน
พฤษภาคม-สิงหาคม ปี 2564
Keyword:
ความร่วมมือ, การวิจัย, คณะวิทยาศาสตร์
หน้า: 201 - 209
(Download: 67 ครั้ง)
|
บทคัดย่อ
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพโครงการวิจัยของคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปีงบประมาณ 2560-2562 ประชากรที่ใช้ คือ ข้อมูลโครงการวิจัยคณะวิทยาศาสตร์จากระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการและการบริหาร วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ เรียงลำดับข้อมูลแสดงผลด้วยตาราง และการขอรับสนับสนุนทุนส่งเสริมการตีพิมพ์ผลงานร่วมกับมหาวิทยาลัยอันดับ 1-20 ของโลก ประชากรที่ใช้ คือ อาจารย์คณะวิทยาศาสตร์ผู้ขอรับการสนับสนุนทุนฯ 2) ศึกษาแนวทางการสร้างความร่วมมือด้านการวิจัยระหว่างคณะวิทยาศาสตร์กับมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก โดยสัมภาษณ์แบบเจาะจงไปยังผู้บริหารคณะในสายงานวิจัย อาจารย์ผู้สอนที่เป็นศิษย์เก่าจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยชั้นนำโลก รวมถึงอาจารย์ผู้มีประสบการณ์ทำงานวิจัยร่วมกับนักวิจัยในมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก จำนวน 6 คน ข้อมูลที่ได้นำไปวิเคราะห์เนื้อหาแบบอุปนัย ผลการวิจัยพบว่า 1) โครงการวิจัยของคณะวิทยาศาสตร์ มีจำนวน 1,143 โครงการ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 97.46 เป็นโครงการวิจัยจากแหล่งทุนในประเทศ ส่วนแหล่งทุนจากนอกประเทศสูงสุดจากประเทศกลุ่มทวีปเอเชีย คิดเป็นร้อยละ 1.22 โดยในปี 2562 มีอาจารย์คณะวิทยาศาสตร์ จำนวน 2 คน หรือคิดเป็น 0.61% จาก 326 คน ตีพิมพ์ผลงานร่วมกับมหาวิทยาลัยอันดับ 1–20 ของโลกจำนวน 2 ผลงาน หรือคิดเป็น 0.34% จาก 595 ผลงาน 2) แนวทางการสร้างความร่วมมือด้านการวิจัยระหว่างคณะวิทยาศาสตร์กับมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก ประกอบไปด้วยตัวแปร 7 ประการ ตามกรอบแนวคิด 7s ของ McKinsey มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับองค์การและการจัดการที่เอื้อและจะส่งผลต่อความสำเร็จ ได้แก่ 1) กลยุทธ์ 2) โครงสร้าง 3) ระบบ 4) รูปแบบ 5) การจัดบุคคลเข้าทำงาน 6) ทักษะ และ 7) ค่านิยมร่วม
Download
|
50 |
การคัดเลือกผู้ทดสอบสำหรับการทดสอบทางประสาทสัมผัสในผลิตภัณฑ์อาหาร
ผู้แต่ง:
นันธชา ไฝทอง, ก่องกาญจน์ กิจรุ่งโรจน์
ฉบับที่ 1 เดือน
มกราคม-เมษายน ปี 2567
Keyword:
การคัดเลือกผู้ทดสอบ, การทดสอบความถูกต้อง, การทดสอบจับคู่, การทดสอบการรับรู้สิ่งกระตุ้น
หน้า: 185 - 196
(Download: 66 ครั้ง)
|
บทคัดย่อ
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อการคัดเลือกผู้ทดสอบทางประสาทสัมผัสเพื่อคัดเลือกอาสาสมัครที่มีคุณสมบัติเป็นผู้ทดสอบสำหรับทดสอบความแตกต่าง (Sensory panel) และผู้ทดสอบสำหรับฝึกฝน (Panel for training) สำหรับทดสอบผลิตภัณฑ์อาหารของห้องปฏิบัติการทดสอบทางประสาทสัมผัส มีอาสาสมัครเข้าร่วมการทดสอบทั้งสิ้น 55 คน ช่วงอายุตั้งแต่ 23-55 ปี อาสาสมัครผ่านการคัดลือกเบื้องต้นจากการตอบแบบสอบถามซึ่งประกอบด้วย ข้อมูลด้านสุขภาพ นิสัยการบริโภค คำถามด้านเนื้อสัมผัสและกลิ่นรส รวมทั้งการทดสอบตาบอดสี โดยทำการคัดเลือกผู้ที่ไม่มีภาวะของโรคหรือการใช้ยาที่มีผลต่อการรับรู้ทางประสาทสัมผัส และไม่มีปัญหาด้านการมองเห็นสี มีทัศนคติที่ดีเกี่ยวกับการบริโภคอาหาร พบว่า มีผู้ทดสอบที่ผ่านเกณฑ์ที่กำหนดสามารถจัดเป็นผู้ทดสอบสำหรับทดสอบความแตกต่างได้จำนวน 34 คน ประกอบด้วยเพศชาย 12 คน และเพศหญิง 22 คน จากนั้นทำการคัดเลือกผู้มีความสามารถด้านประสาทสัมผัสด้วยวิธีต่าง ๆ ได้แก่ ทดสอบความสามารถในการรับรู้รสชาติพื้นฐานทั้ง 4 รส การทดสอบการจับคู่กลิ่น และการทดสอบการรับรู้สิ่งกระตุ้นด้วยการทดสอบแบบสามเหลี่ยมของตัวอย่างอาหารที่มีกลิ่นรสและเนื้อสัมผัสต่าง ๆ ตลอดจนความสามารถในการจัดลำดับของกลิ่นรส และเนื้อสัมผัส และการทดสอบความสามารถในการพรรณนา พบว่ามีผู้ผ่านการคัดเลือกที่สามารถเข้าร่วมโครงการฝึกฝนผู้ทดสอบต่อไปได้จำนวน 21 คน โดยเป็นเพศหญิง 12 คน และเพศชาย 9 คน ห้องปฏิบัติการทดสอบทางประสาทสัมผัสของคณะอุตสาหกรรมเกษตรได้จัดทำฐานข้อมูลของผู้ทดสอบโดยแยกเป็นประเภทผู้ทดสอบสำหรับทดสอบความแตกต่าง (34 คน) และกลุ่มผู้ทดสอบสำหรับฝึกฝน (21 คน)
Download
|