เกณฑ์การประเมินความเสี่ยงของงานพัสดุจากกรณีตัวอย่างมหาวิทยาลัยมหิดล
ผู้แต่ง:
พิชามญชุ์ กาหลง
ฉบับที่ 3 เดือน
กันยายน - ธันวาคม ปี 2564
(Download: 4210 ครั้ง)
|
บทคัดย่อ
บทความนี้ผู้เขียนได้นำเสนอระบบบริหารความเสี่ยงในงานพัสดุจากกรณีตัวอย่างมหาวิทยาลัยมหิดล โดยเริ่มจากการกำหนดนโยบายบริหารความเสี่ยงงานพัสดุ การระบุความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น และผู้เขียนได้นำเสนอเหตุการณ์ความเสี่ยงของงานพัสดุ 3 ด้าน ดังนี้1) ด้านกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง ได้แก่ 1.1) คณะกรรมการดำเนินการจัดซื้อจัดจ้าง พิจารณาคุณสมบัติ ราคา การรายงานผลการพิจารณา ละเลย
การตรวจสอบเอกสาร หลักฐานของผู้ยื่นเสนอราคา 1.2) สินค้าหรือบริการที่ส่งมอบไม่ตรงกับใบสั่งซื้อ สั่งจ้าง สัญญา 1.3) ความล่าช้าในกระบวนการการจัดซื้อจัดจ้าง 1.4) การจัดทำร่างขอบเขตของงาน (TOR) ไม่ได้แต่งตั้งบุคลการที่ชำนาญเป็นคณะกรรมการในโครงการที่จัดซื้อ 1.5) การจัดทำราคากลางสูงเกินความเป็นจริง 1.6) เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานทำผิดกฎระเบียบข้อบังคับ 2) ด้านการบริหารสัญญา ได้แก่ 2.1) การจัดทำสัญญาโดยมีข้อความหรือสาระสำคัญในสัญญาผิด 2.2) เอกสารการจัดซื้อจัดจ้างงานพัสดุเสี่ยงต่อการสูญหาย 2.3) การแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจรับพัสดุขาดความรู้ ความชำนาญในพัสดุที่ได้ดำเนินการจัดซื้อหรือจ้าง 2.4) ไฟล์สำเนาเอกสารการจัดซื้อจัดจ้างงานพัสดุเสี่ยงต่อการสูญหาย3) ด้านการควบคุมพัสดุ ได้แก่ 3.1) ทะเบียนคุมครุภัณฑ์ขาดความครบถ้วน ไม่สมบูรณ์ 3.2) การบันทึกรายการวัสดุสำรองคลังไม่ถูกต้อง 3.3) ทรัพย์สินมีค่าสูญหาย 3.4) ไม่จัดทำเอกสาร หลักฐานการส่งมอบครุภัณฑ์ให้แก่ผู้ใช้งาน 3.5) บุคลากรได้รับอุบัติเหตุจากการเข้าพื้นที่ห้องเก็บพัสดุ 3.6) การลดลงของพื้นที่ใช้สอยในห้องเก็บพัสดุ ผู้เขียนคาดหวังว่าองค์ความรู้จากบทความนี้จะเป็นประโยชน์และสามารถนำไปใช้ประเมินความเสี่ยงในงานพัสดุของมหาวิทยาลัยในประเทศไทยต่อไป
Download
|
การเก็บรักษาน้ำสกัดมันฝรั่งเพื่อทดแทนอาหารเลี้ยงเชื้อ Potato Dextrose Agar (PDA) สำเร็จรูปสำหรับใช้ในห้องปฏิบัติการ
ผู้แต่ง:
สุรศักดิ์ บุญรุ่ง, ฉวีวรรณ มลิวัลย์
ฉบับที่ 1 เดือน
มกราคม-เมษายน ปี 2565
(Download: 3552 ครั้ง)
|
บทคัดย่อ
อาหารเลี้ยงเชื้อ Potato Dextrose Agar (PDA) เป็นอาหารสำหรับเลี้ยงเชื้อราและยีสต์ที่นิยมใช้ในห้องปฏิบัติการ ซึ่งอาหารเลี้ยงเชื้อสำเร็จรูปมักมีราคาแพง การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลการเก็บรักษาน้ำสกัดมันฝรั่งที่อุณหภูมิ -20 องศาเซลเซียส เป็นระยะเวลา 150 วัน ต่อการเปลี่ยนแปลงสี พีเอช และการเจริญของเชื้อรา (Aspergillus niger ATCC6275) และเชื้อยีสต์ (Saccharomyces cerevisiae TISTR5088) เปรียบเทียบกับอาหาร PDA สำเร็จรูปทางการค้าพบว่า เชื้อรา A. niger ที่เลี้ยงในอาหาร PDA ที่เตรียมจากน้ำสกัดมันฝรั่งมีการเจริญใกล้เคียงกันที่ 6.17-6.50 เซนติเมตร การเจริญของเส้นใยมากกว่าอาหาร PDA สำเร็จรูปทางการค้า (4.30 เซนติเมตร) หลังการบ่มที่อุณหภูมิ 30 องศาเซลเซียส ระยะเวลา 4 วัน ส่วนเชื้อยีสต์ S. cerevisiae ที่เลี้ยงในอาหาร PDA ที่เตรียมจากน้ำสกัดมันฝรั่งมีการเจริญใกล้เคียงกันที่ 6.87-6.90 log units และใกล้เคียงกับอาหาร PDA สำเร็จรูปทางการค้า (6.90 log units) หลังการบ่มที่อุณหภูมิ 30 องศาเซลเซียส ระยะเวลา 2 วัน สีน้ำสกัดมันฝรั่ง (L* a* b*) วันที่ 0 มีค่าเท่ากับ 96.78, -0.45 และ 4.28 ตามลำดับ หลังเก็บรักษาสีของน้ำสกัดมันฝรั่งเปลี่ยนเป็น 93.24, -0.22 และ 5.98 ตามลำดับ ส่วนความเป็นกรดด่าง (พีเอช) ของน้ำสกัดมันฝรั่ง วันที่ 0 มีค่าเท่ากับ 5.52 หลังเก็บรักษา 150 วัน มีค่าเท่ากับ 5.46 ดังนั้นสามารถสรุปได้ว่า การเก็บรักษาน้ำสกัดมันฝรั่งที่อุณหภูมิ –20 องศาเซลเซียส ระยะเวลาเก็บรักษา 150 วัน สามารถนำมาเตรียมอาหาร เลี้ยงเชื้อ PDA เพื่อแทนการใช้อาหาร PDA สำเร็จรูปทางการค้าในการเรียนการสอนของห้องปฏิบัติการได้
Download
|
ระบบจัดเก็บและสืบค้นเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ออนไลน์ โดยใช้ระบบยืนยันตัวตน CMU OAuth
ผู้แต่ง:
อริษา ทาทอง, ถนอม กองใจ
ฉบับที่ 2 เดือน
พฤษภาคม-สิงหาคม ปี 2564
(Download: 2523 ครั้ง)
|
บทคัดย่อ
การวิจัยนี้มีแนวคิดในการจัดทำระบบสำหรับจัดเก็บไฟล์เอกสารอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อเก็บรวบรวมเอกสารงานสารบรรณ เช่น คำสั่ง ประกาศ ระเบียบข้อบังคับ รายงานการประชุม โครงการ และเอกสารหลักสูตร ผู้ใช้งานสามารถสืบค้นไฟล์เอกสารได้ด้วยตนเองผ่านระบบอินเทอร์เน็ต ที่พัฒนาบนแพลตฟอร์มเว็บแอปพลิเคชันออนไลน์รองรับการใช้งานกับเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์สมาร์ตโฟน ระบบถูกพัฒนาด้วยภาษา PHP HTML และโปรแกรม WordPress ในการทำระบบบริหารจัดการข้อมูล และหน้าจอแสดงผล มีการลงชื่อเข้าใช้งานระบบด้วยบัญชีรายชื่อผู้ใช้ CMU IT Account ผ่านระบบยืนยันตัวตนของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ CMU OAuth โปรแกรมถูกทดลองติดตั้งและใช้จัดเก็บไฟล์เอกสารภาควิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ย้อนหลังตั้งแต่ปีงบประมาณ 2561 จนถึงปัจจุบัน ระบบกำหนดสิทธิการเข้าใช้งานระบบเฉพาะบุคลากรสังกัดภาควิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์ จำนวน 36 คน เป็นระยะเวลา 6 เดือน ผลการทดลองพบว่า ระบบช่วยอำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้งานในการสืบค้นเอกสาร ได้รับไฟล์เอกสารที่ถูกต้อง ลดเวลาและขั้นตอนการสืบค้นเอกสาร ช่วยพัฒนาการให้บริการและลดขั้นตอนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ธุรการในการสืบค้นเอกสารให้แก่บุคลากรที่ติดต่อขอใช้เอกสารรองรับการจัดเก็บไฟล์เอกสารได้หลายรูปแบบและจัดเก็บไฟล์ได้เป็นจำนวนมาก มีการจัดหมวดหมู่เอกสารให้สืบค้นได้ง่าย ลดการใช้ทรัพยากรกระดาษ ผู้วิจัยได้จัดทำแบบสอบถามประเมินความพึงพอใจจากผู้ใช้งานระบบ ผลประเมินความพึงพอใจโดยรวมของผู้ใช้งานมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.65 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.60 สรุปได้ว่าผู้ใช้งานมีความพึงพอใจอยู่ในเกณฑ์มากที่สุด ดังนั้นระบบที่จัดทำขึ้นนี้สามารถนำไปใช้จัดเก็บและสืบค้นเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ ให้สอดคล้องการบริหารงานตามแนวทางที่มุ่งเน้นประสิทธิภาพ ความคุ้มค่า และลดขั้นตอนการปฏิบัติงาน
Download
|
แนวทางการดำเนินงานตามเกณฑ์คุณภาพการศึกษาเพื่อการดำเนินงานที่เป็นเลิศ (EdPEx) คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
ผู้แต่ง:
ชยภร ศิริโยธา
ฉบับที่ 2 เดือน
พฤษภาคม-สิงหาคม ปี 2564
(Download: 2369 ครั้ง)
|
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาแนวทางที่สำคัญต่อการดำเนินงานที่เป็นเลิศ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม นำไปสู่การเข้าร่วมโครงการ EdPEx200 กลุ่มตัวอย่างการวิจัยประกอบด้วย ผู้บริหาร คณะกรรมการประจำคณะ หัวหน้ากลุ่มงานและบุคลากรของคณะวิศวกรรมศาสตร์ โดยเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง จำนวน 48 คน ที่มีหน้าที่รับผิดชอบและปฏิบัติงานตามเกณฑ์คุณภาพการศึกษาที่เป็นเลิศ เครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์และเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และวิเคราะห์ข้อมูลในรูปแบบค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยและค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน นำเสนอในรูปแบบสถิติเชิงพรรณนา ผลวิจัยพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่อยู่ในสถานภาพ พนักงานมหาวิทยาลัย จำนวน 22 คน ร้อยละ 45.83 ตำแหน่งเจ้าหน้าที่สายสนับสนุน จำนวน 34 คน ร้อยละ 70.83 ระยะเวลาการปฏิบัติงานในคณะวิศวกรรมศาสตร์ มากกว่า 10 ปีขึ้นไป จำนวน 21 คน ร้อยละ 43.75 และมีประสบการณ์การปฏิบัติงานตามเกณฑ์คุณภาพการศึกษาเพื่อการดำเนินงานที่เป็นเลิศต่ำกว่า 1 ปี จำนวน 41 คน ร้อยละ 85.42 เมื่อทำการพิจารณาถึงแนวทางที่สำคัญต่อการดำเนินงานที่เป็นเลิศ (EdPEx) คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคามที่นำไปสู่การเข้าร่วมโครงการ EdPEx200 พบว่า ในภาพรวม ( =3.99, S.D.=0.57) ระดับแนวทางการดำเนินงานตามเกณฑ์มาก และเมื่อทำการพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า บทบาทผู้บริหารการนำองค์กร สูงเป็นอันดับแรก ( =4.16, S.D.=0.55) ระดับแนวทางการดำเนินงานตามเกณฑ์มาก รองลงมาได้แก่ การนำองค์กรอย่างมียุทธศาสตร์และกลยุทธ์( =4.12, S.D.=0.57) การสื่อสารและการสร้างความเข้าใจ ( =4.10, S.D.=0.45) การถ่ายทอดค่านิยมให้เกิดผลทางปฏิบัติ ( =4.04, S.D.=0.43) การตั้งเป้าหมายความเป็นเลิศที่มุ่งเน้นลูกค้า ( =4.01, S.D.=0.50) การวัดผล วิเคราะห์ ปรับปรุงผลการดำเนินงาน ( =3.97, S.D.=0.71) การให้ความสำคัญกับบุคลากร ( =3.83, S.D.=0.68) และ
การออกแบบการบริหารจัดการกระบวนการ ( =3.71, S.D.=0.65)
Download
|
ผลของการพัฒนารูปแบบการบริบาลทางเภสัชกรรมเพื่อการจัดการเหตุการณ์ ไม่พึงประสงค์จากยาคาร์บามาซีปีนด้วยการตรวจยีน HLA-B*15:02 ในผู้ป่วยรายใหม่โรคปวดประสาทไทรเจมินัล
ผู้แต่ง:
หนึ่งหทัย อภิพัตฐ์กานต์, วชิรศักดิ์ อภิพัตฐ์กานต์, กันต์พงษ์ ธารฤทธิ์ทวีพร
ฉบับที่ 1 เดือน
มกราคม-เมษายน ปี 2565
(Download: 2204 ครั้ง)
|
บทคัดย่อ
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการใช้แนวทางการบริบาลทางเภสัชกรรมเพื่อการจัดการเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์จากยาคาร์บามาซีปีนในผู้ป่วยรายใหม่โรคปวดประสาทไทรเจอมินัล โรงพยาบาลทันตกรรม คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ศึกษาข้อมูลย้อนหลังจากเวชระเบียนและฐานข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ปี 2558-2563 เครื่องมือที่ใช้ คือ แนวทางการจัดการเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์จากยาในผู้ป่วยรายใหม่ที่ได้รับยาคาร์บามาซีปีน (Carbamazepine) ผลพบว่า ผู้ป่วยรายใหม่เฉลี่ย 34 รายต่อปี ด้านการตรวจ HLA-B*15:02 เริ่มปี 2562 พบรายใหม่ 20 ราย ได้รับการตรวจ 20 ราย (ร้อยละ100) ปี 2563 รายใหม่ 17 ราย ได้รับการตรวจ 17 ราย (ร้อยละ100) ด้านผลการตรวจ HLA-B*15:02 พบว่าปี 2562 รายใหม่ 20 ราย ผลลบ 19 ราย ใช้ยาได้ 17 ราย (ร้อยละ 89.47) ผลลบ แต่ใช้ยาไม่ได้ 2 ราย (ร้อยละ 10.53) ผลบวก 1 ราย (ร้อยละ5.00) แต่ใช้ยา Oxcarbazepine ได้ ,ปี 2563 รายใหม่ 17 ราย ผลลบ 14 ราย (ร้อยละ 82.35) ใช้ยาได้ 13 ราย (ร้อยละ 92.86), ใช้ยาไม่ได้ พบผื่นแพ้ยา 1 ราย (ร้อยละ 7.14) ผลบวก 3 ราย (ร้อยละ 17.65) ใช้ยาGabapentin ได้ 1 ราย (ร้อยละ33.33) ใช้ยาไม่ได้ 2 ราย (ร้อยละ 66.67) ด้านเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ระดับไม่รุนแรง ได้แก่ วิงเวียนศีรษะ ผื่น เดินเซ ไม่พบแพ้ยา SJS/TEN การศึกษานี้แสดงถึงผลการพัฒนาการบริบาลทางเภสัชกรรมที่ป้องกันและจัดการเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์จากยาคาร์บามาซีปีนในผู้ป่วยรายใหม่โรคปวดประสาทไทรเจมินัลได้
Download
|
การวิเคราะห์ผลงานตีพิมพ์ระดับนานาชาติของมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ที่อยู่ในฐานข้อมูล Scopus ปี พ.ศ.2559-2563
ผู้แต่ง:
โกสินธุ์ ศิริรักษ์, กิตติพร ศรีเพ็ชร
ฉบับที่ 1 เดือน
มกราคม-เมษายน ปี 2565
(Download: 2194 ครั้ง)
|
บทคัดย่อ
การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ผลงานตีพิมพ์ระดับนานาชาติของมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ที่อยู่ในฐานข้อมูล Scopus ปี พ.ศ.2559-2563 กลุ่มตัวอย่างเป็นผลงานที่ได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่ของมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ในฐานข้อมูล Scopus ตั้งแต่ปี พ.ศ.2559-2563 ใช้วิธีการค้นหาและเก็บรวบรวมข้อมูลจากฐานข้อมูล Scopus ประกอบด้วย บทความวิจัย บทความปริทัศน์ บทความสืบเนื่องจากงานประชุมวิชาการ และบทในหนังสือ วิเคราะห์ข้อมูลจำนวนการตีพิมพ์ในแต่ละปี ประเภทของบทความ จำนวนการอ้างอิงในแต่ละปี จำนวนบทความที่ตีพิมพ์ในแต่ละสาขา รายชื่อวารสารที่ได้รับการตีพิมพ์ รายชื่อหน่วยงานที่มีผลงานตีพิมพ์ร่วมกัน รายชื่อประเทศที่มีผลงานตีพิมพ์ร่วมกัน และแหล่งทุนที่ให้การสนับสนุนวิจัย ผลการศึกษาพบว่า ผลงานตีพิมพ์ระดับนานาชาติของมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ที่อยู่ในฐานข้อมูล Scopus ปี พ.ศ.2559-2563 มีจำนวนทั้งสิ้น 1,031 บทความ (เพิ่มขึ้นร้อยละ 34.22) มีบทความวิจัยตีพิมพ์เพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 35.52 ในปี พ.ศ.2563 มีจำนวนการอ้างอิง 1,379 ครั้ง โดยสาขาที่ได้รับการตีพิมพ์สูงสุดคือ สาขาแพทยศาสตร์ จำนวน 208 บทความ วารสารที่ได้รับการตีพิมพ์สูงสุดคือ Walailak Journal of Science and Technology จำนวน 63 บทความ (ร้อยละ 6.11) หน่วยงานที่มีผลงานตีพิมพ์ร่วมกับมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์สูงสุด คือ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ จำนวน 127 บทความ ประเทศที่มีผลงานตีพิมพ์ร่วมกับมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์สูงสุด คือ ออสเตรเลีย จำนวน 59 บทความ และแหล่งทุนที่ให้การสนับสนุนการวิจัยตีพิมพ์สูงสุด คือ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ จำนวน 300 บทความ (ร้อยละ 29.10) สรุปผลการศึกษาพบว่า การตีพิมพ์เผยแพร่ผลงานในระดับนานาชาติของมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา มีอัตราการตีพิมพ์ผลงานเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยข้อมูลดังกล่าวสามารถนำไปกำหนดนโยบาย และส่งเสริมสนับสนุนทิศทาง
การขับเคลื่อนงานวิจัยของมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ต่อไป
Download
|
ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกศึกษาต่อระดับปริญญาตรี คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ปีการศึกษา 2565
ผู้แต่ง:
ชยภร ศิริโยธา
ฉบับที่ 2 เดือน
พฤษภาคม-สิงหาคม ปี 2566
(Download: 2125 ครั้ง)
|
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจเข้าศึกษาต่อระดับปริญญาตรีของนักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ประจำปีการศึกษา 2565 มีกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ใน การวิจัย จำนวน 297 คน โดยการใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย เครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถาม (Questionnaire) มาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ค่าความเชื่อมั่นอยู่ที่ 0.76 - 1.00 มีค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของ Cronbach เท่ากับ 0.83 และแบบสัมภาษณ์แบบเจาะลึก มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.81 – 1.00 มีค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของ Cronbach เท่ากับ 0.87 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน นำเสนอผลวิจัยในรูปแบบสถิติเชิงพรรณนา พบว่า ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกศึกษาต่อระดับปริญญาตรี คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ปีการศึกษา 2565 ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก ( =4.35, S.D.=0.69) และเมื่อทำการพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านภาพลักษณ์คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม สูงเป็นอันดับแรกอยู่ในระดับมากที่สุด ( =4.53, S.D.=0.67) รองลงมาอยู่ในระดับมากทุกด้าน ได้แก่ ด้านหลักสูตรการจัดการเรียนการสอน ( =4.49, S.D.=0.63) ด้านครอบครัว ( =4.40, S.D.=0.64) ด้านอาจารย์ ( =4.35, S.D.=0.67) ด้านการประชาสัมพันธ์ ( =4.30, S.D.=0.65) ด้านเหตุผลส่วนบุคคล ( =4.21, S.D.=0.87) และด้านสภาพแวดล้อม ( =4.17, S.D.=0.76)
Download
|
การพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อการจัดเก็บและสืบค้นผลงานทางวิชาการ คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ผู้แต่ง:
อัญชลี วิเลิศศักดิ์
ฉบับที่ 1 เดือน
มกราคม-เมษายน ปี 2565
(Download: 2119 ครั้ง)
|
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อออกแบบพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อการจัดเก็บและสืบค้นผลงานทางวิชาการ คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ หรือ SMART ICs ที่สามารถตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้กลุ่มต่าง ๆ และเพื่อประเมินประสิทธิภาพและความพึงพอใจของการใช้งานระบบ โดยออกแบบตามหลักการวงจรการพัฒนาระบบ SDLC ในรูปแบบWeb Application โดยใช้ภาษา PHP และฐานข้อมูล MySQL กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ คือ ผู้ที่มีส่วนร่วมในการกรอกและใช้ข้อมูลผลงานทางวิชาการจำนวน 31 คน ได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบเจาะจง ผลการวิจัยพบว่า 1) ได้ระบบสารสนเทศประกอบด้วย 4 กระบวนการ คือ การจัดการข้อมูลผู้ใช้งานระบบโดยการกำหนดสิทธิ์ของผู้ใช้ระบบแต่ละกลุ่มให้สามารถจัดการข้อมูลและสืบค้นได้แตกต่างกัน การจัดการข้อมูลผลงานทางวิชาการ คือ การเพิ่ม แก้ไข ลบ ตรวจสอบข้อมูลผลงานทางวิชาการแต่ละประเภท การค้นหาและเรียกดูผลงานทางวิชาการตามเงื่อนไขต่าง ๆ และการออกรายงานสารสนเทศ 2) ผลการประเมินการทำงานของระบบสารสนเทศ พบว่า ระดับประสิทธิภาพและความพึงพอใจของการใช้งานของระบบในภาพรวมอยู่ระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ย 4.61 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) มีค่าเท่ากับ 0.51 ดังนั้นจึงสามารถสรุปได้ว่าระบบสารสนเทศที่พัฒนาขึ้นตรงตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ในการวิจัยนี้และสามารถจำแนกประเภทของผลงานทางวิชาการตามเกณฑ์ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและสามารถรองรับการนำข้อมูลไปใช้ทั้งระดับปฏิบัติการและระดับยุทธศาสตร์ตามนโยบายของคณะที่จะได้เข้ารับการรับรองมาตรฐานจากThe Association to Advance Collegiate Schools of Business: AACSB และเป็นต้นแบบของการพัฒนาระบบฐานข้อมูลอื่น ๆ ได้ต่อไป
Download
|
| ดูรายการทั้งหมด |